สภาฯเร่งชำแหละงบฯ 67 สส.ก้าวไกลดาหน้าถล่มยับ “ไหม” ซัดรัฐบาลอยู่ 6 เดือนเบิกจ่ายงบลงทุนไร้ประสิทธิภาพ หวั่นรัฐบาลประเมินรายได้ผิดวงเงินกู้เต็มเพดาน “ชยพล” ถลกงบฯ กอ.รมน.ซ้ำซ้อน เบิกค่าซ่อมยุทโธปกรณ์ เช่าเหมาลำเครื่องบินเอกชนไม่ตรงภารกิจ ฉะ ทบ.ใช้งบลับซื้อฟูกพารา-ธงปลาคาร์ปวัดทางลมแพงหูฉี่ เฉ่งทำเนียบฯตั้งงบฯเช่ารถประจำตำแหน่ง ซื้อพรมขนแกะหรู ไม่นึกถึงคนไม่มีกิน ทสท.ผสมโรงสับ 3 เหล่าทัพซ่อนงบปรับลดไม่จริง “รมช.คลัง” ยันแผนการคลังสอดคล้องจีดีพี แจง กอ.รมน.เช่าเครื่องบินขนทหารลงใต้ พรมหรูใช้พิธีสำคัญ-รับอาคันตุกะ ขณะที่ “นายกฯเศรษฐา” ต้อนรับ “น้องโก้ เมืองเพชร” ควายเผือกค่าตัว18ล้าน ตีปี๊บซอฟต์พาวเวอร์สั่งโรดโชว์ที่จีนทันที ศาล รธน.ตีตกคำร้อง “เรืองไกร” สอย “เพื่อไทย” ปมแก้ม.112 ไล่ กกต.กลับไปชงคำร้องยุบค่ายส้มมาใหม่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ที่ กมธ.งบฯปี 2567 ปรับลดไป 9,204.1 ล้านบาท เข้าสู่สภาฯเป็นวาระ 2-3 ในวันแรก สส.ฝ่ายค้านพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่สงวนความเห็น ดาหน้าอภิปรายอย่างเข้มข้นสมบทบาทสภาฯชำแหละงบฯ 67 วาระ 2–3เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 20 มี.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาทวาระ 2-3 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานที่ประชุม มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณางบฯปี 2567 อภิปรายสรุปต่อที่ประชุมว่า กมธ.ฯพิจารณาเสร็จเร็วกว่ากำหนด 2 สัปดาห์ ปัญหาประชาชนรอไม่ได้จำเป็นต้องได้รับงบเร่งด่วนที่สุด อย่างถูกต้องรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่า ภายใต้หลักธรรมาภิบาล สุจริต โปร่งใสและเป็นธรรม มีข้อเสนอในภาพรวมที่สำคัญ เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขทุจริตอย่างจริงจัง ตั้งงบให้ตรงกับความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งงบชดใช้เงินคงคลังในอนาคต ภูมิธรรม เวชยชัยกมธ.ปรับลด 9.2 พันล้านบาทนายภูมิธรรมกล่าวว่า กมธ.ฯมีการแต่งตั้งอนุ กมธ.ฯ 9 คณะ พิจารณาอย่างรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุด โดย กมธ.ฯได้ปรับลดงบลง 9,204.1 ล้านบาท และเพิ่มงบให้หน่วยงานตามความเหมาะสมและจำเป็น อย่างหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอัยการ เพื่อให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ได้อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงงบจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แผนงานบุคลากรภาครัฐ รายการบุคลากรภาครัฐจำนวน 191.1 ล้านบาท ไปเป็นงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อสนับสนุนการถ่ายโอนบุคลากร สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษานวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 43 แห่ง ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท.2542 ศิริกัญญา ตันสกุลก.ก.ฉะเบิกจ่ายยืดยาดหั่น 3 หมื่น ล.จากนั้นที่ประชุมพิจารณารายมาตรา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะ กมธ.ผู้สงวนความเห็นลุกขึ้นอภิปรายเป็นคนแรกในมาตรา 4 งบฯปี 2567 รวมทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาทว่า ขอปรับลดประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยในวงเงินงบฯ 3.48 ล้านล้านบาท มีการอนุมัติงบไปพลางก่อนแล้ว โดย ผอ.สำนักงบประมาณจำนวน 1.8 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือที่สภาฯสามารถพิจารณาใช้ได้จริงๆมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งคือ 1.68 ล้านล้านบาท และรัฐบาลขาดประสิทธิภาพเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำ เบิกจ่ายไปได้แค่ 79% รายจ่ายลงทุนอนุมัติไปแค่ 155,483 ล้านบาท หรือแค่ 55% ถ้ารัฐบาลจะขาดประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายงบขนาดนี้ เกือบๆ 6 เดือน เบิกจ่ายลงทุนไปแค่ 55% รัฐบาลก็ไม่สมควรจะนำงบไปทั้ง 3.48 ล้านล้านบาทหวั่นรูกู้ชดเชยขาดดุลเต็มเพดานน.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ที่กังวลใจคือการประมาณการรายได้อาจผิดพลาดสูงเกินความจริง แต่จัดเก็บจริงได้ต่ำกว่าประมาณ 1 แสนล้านเศษ ณ วันนี้เรากู้เงินชดเชยการขาดดุลไปแล้วโดยตั้งไว้ 693,000 ล้านบาท ถ้าจัดเก็บรายได้ไม่ตามเป้าจะสามารถกู้ชดเชยขาดดุลได้จนเต็มเพดานอยู่ที่แค่ 790,656 ล้านบาทเท่านั้น เท่ากับเรามีรู มีช่องว่าง กู้ไม่ถึง 1 แสนล้านบาท ควรจัดสรรลำดับความสำคัญใหม่ ปรับงบลงเล็กน้อยเพื่อทำให้สถานะทางการคลังประเทศ ไม่สะดุดหยุดลงหรือมีปัญหาเหน็บตั้งงบแบบประหยัดสมองประสิทธิ์ ปัทมผดุงศักดิ์ สส.ปทุมธานี พรรค ก.ก.อภิปรายว่า ขอตัดงบในมาตรา 4 ลง 5% เราตั้งงบขาดดุลติดต่อกันมาปีที่ 18 ต้องกู้เพิ่มทุกๆปี ยอดหนี้สาธารณปัจจุบัน 11.2 ล้านล้านบาทแล้ว เคยมีคำกล่าว รัฐบาลยุคก่อนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ กู้เก่งเป็นนักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ระวังสมัยนี้อาจได้ฉายาว่านักกู้ถุงเท้าแดงถ้ายังกู้อยู่แบบนี้ ตนไม่ชอบใจวิธีการทำงบแบบเพิ่มนิดลดนิด ตั้งงบอิงจากปีก่อนๆทำให้ขยับงบจากกระทรวงอื่นมาได้น้อย ตั้งงบแบบเก่าๆ ประหยัดสมองไม่ต้องคิดอะไรมาก เสนอว่า ควรพิจารณางบจากความจำเป็นเร่งด่วน หรือ Zero-base budgeting เพื่อสะท้อนปัญหาข้อเท็จจริงของปีนั้นๆ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์“จุลพันธ์” แจงใช้งบไปพลางก่อนต่อมานายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธาน กมธ.งบฯปี 2567 เเจงกรณีงบใช้ไปพลางก่อนว่า งบนี้ไม่ใช่อำนาจของสำนักงบประมาณฝ่ายเดียว มีกลไกลตามข้อกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องมีการอนุมัติเห็นชอบผ่านนายกฯ รวมกับสำนักงบประมาณและเนื่องจากเวลาจัดทำงบประจำปีไม่ทัน จึงมีความจำเป็นต้องใช้ แต่ในการใช้งบไปพลางก่อนจะมาตั้งโครงการใหม่ ที่ไม่ได้บรรจุในงบปีก่อนหน้าทำไม่ได้ และงบใช้ไปพลางก่อนมีข้อดี คือผ่านความเห็นชอบของรัฐสภามาเรียบร้อยแล้ว นายกฯและผู้อำนวยการสำนักงบประมาณสามารถกำหนดได้เฉพาะหลักเกณฑ์เงื่อนไขเท่านั้นการันตีการคลังสอดคล้องจีดีพีนายจุลพันธ์กล่าวว่ารัฐบาลนี้เข้ามาเราได้อนุมัติแผนการคลังปี 2568-2571 โดยให้ความสำคัญของการลดขนาดการขาดดุลงบลงให้สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลปี 68 จำนวน 7.13 แสนล้านบาท ลดลงปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยปีละ 0.2%ของจีดีพี หากระยะต่อไปเราสามาถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพตามเป้า 5% ภาครัฐสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งการคลังได้เหมาะสมเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายการคลังในระยะยาวได้ และยืนยันโครงการของรัฐบาลทุกโครงการไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ยังเดินหน้า แต่ด้วยกรอบการพิจารณาของชั้นคณะกรรมการผู้ดำเนินการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอาจมีความจำเป็นต้องกู้ผ่าน พ.ร.บ.ให้สมาชิกสภาให้ความเห็นชอบ จากนั้นที่ประชุมได้ใช้เวลาพิจารณาในมาตรา 5 งบและ 6 ที่มีผู้อภิปรายประปรายรุมสกรัมงบ กอ.รมน.ไม่ตรงภารกิจกระทั่งเวลา 12.30 น. เข้าสู่มาตรา 7 งบฯสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ กมธ.เสียงข้างมากปรับลดงบประมาณเหลือ 24,124,617,500 บาท จากเดิม 24,834,743,400 บาท โดย สส.หลายคนอภิปรายตัดงบประมาณกองอำนวยการความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เพราะเป็นหน่วยงานซ้ำซ้อน ไม่มีผลงาน และตรวจสอบยาก อาทิ นายชยพล สะท้อนดี สส. กทม.พรรค ก.ก.อภิปรายว่า ขอตัดลดงบ กอ.รมน. 23.5 ล้านบาท แผนยุทธศาสตร์ของ กอ.รมน.มีข้อน่าสงสัยหลายอย่าง เนื้อหาโครงการและแผนงานไม่ค่อยสอดคล้องกัน เช่น โครงการพัฒนาด้านการเมืองและการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ โครงการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ หน่วยงานที่มาชี้แจงตอบไม่ได้ ขอเอกสารก็ไม่มี และยังมีเงินค่าซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ 120 ล้านบาท ทั้งที่ กอ.รมน.ไม่มียุทโธปกรณ์ เพราะเป็นหน่วยประสานงาน ขณะที่โครงการเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบาย 345.6 ล้านบาท มีการจ้างเหมาลำเครื่องบินจากภาคเอกชน 12 เดือนมูลค่า 190 ล้านบาท สงสัยว่าเดินทางอย่างไรถึงต้องเช่าเหมาลำ ปรีติ เจริญศิลป์ถล่มค่าเช่ารถนายกฯ–ซื้อพรมหรูขณะที่นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคก.ก. อภิปรายปรับลดงบฯรถประจำตำแหน่งนายกฯว่า เดิมนายกฯมีรถประจำตำแหน่งอยู่แล้ว แต่ยังขอให้รัฐจัดหาเพิ่มอีก 1 คัน ที่เป็นรุ่นเดียวกัน แต่คนละสี มีค่าเช่าเดือนละ 136,500 บาท รวมงบฯรถประจำตำแหน่งของสำนักนายกรัฐมนตรีมีถึง 124 ล้านบาทต่อปี ยังขอตั้งค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งอีกปีละ 2.73 ล้านบาท อยากรู้เข้ากระเป๋าใคร ซ้ำซ้อนหรือไม่ ขอให้ยกเลิกรถประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง เป็นตัวอย่างแก่ข้าราชการระดับสูง รวมถึงยกเลิกงบฯฟุ่มเฟือยอย่างพรมทอมือขนแกะ 9 ผืน มูลค่า 10,557,200 บาท เพื่อปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล เราเป็นประเทศกำลังพัฒนา อะไรที่อู้ฟู่หรูหราควรตัดออก ให้นึกถึงคนไม่มีจะกินบ้างรมช.คลังชี้งบฯเช่าเครื่องบินขนทหารนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง รองประธาน กมธ.งบฯปี 2567 ชี้แจงว่า ยืนยันการทำงานของ กอ.รมน.ไม่มีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่เป็นหน่วยงานด้านนโยบาย ต่างจาก กอ.รมน.ที่เป็นฝ่ายอำนวยการไปสู่การปฏิบัติงานหน่วยงานอื่นๆ ส่วนการจ้างเหมาลำเครื่องบินจากภาคเอกชน 12 เดือนมูลค่า 190 ล้านบาทนั้น เป็นไปเพื่อใช้จ่ายในการขนส่งกำลังพลลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีการผลัดเปลี่ยนกำลังพลทหารจากกองทัพภาคต่างๆลงพื้นที่ จึงต้องจ้างเหมาลำเครื่องบินพาณิชย์เอกชนขนส่งทหารลงพื้นที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และผลัดเปลี่ยนกำลังอย่างรวดเร็วพรมหรูใช้งานสำคัญหน้าตาประเทศนายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า ขณะที่ข้อสงสัยเรื่องนายกฯมีรถประจำตำแหน่งแล้วเหตุใดยังมีค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งอีก ค่าตอบแทนดังกล่าวไม่ใช่ของนายกฯ แต่เป็นของบุคลากรในสำนักนายกรัฐมนตรี 17 ราย ส่วนงบฯพรมทอมือขนแกะ 10 ล้านบาทนั้น เป็นการใช้ในงานพระราชพิธีและงานสำคัญต่างๆที่ต้องเปิดห้องรองรับอาคันตุกะต่างแดนให้สมเกียรติ เป็นหน้าตาประเทศ ส่วนงบประมาณเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ใช้อย่างคุ้มค่า นายกฯไม่ได้เดินทางโดยใช้เฟิสต์คลาส ประหยัดงบฯในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจเจรจาการค้า การลงทุน เพื่อประโยชน์ของประเทศ จากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นชอบ มาตรา 7 ตามที่ กมธ.เสียงข้างมากแก้ไขมาด้วยคะแนน 292 ต่อ 169 ชยพล สะท้อนดีซัด ทบ.ซื้อธงปลาคาร์ปแพงเว่อร์ต่อมาเวลา 15.00 น. เข้าสู่มาตรา 8 งบฯ กระทรวง กลาโหม ที่ กมธ.ฯปรับลดเหลือ 85,398,193,600 บาท จากที่เสนอมา 87,883,290,100 บาท ส่วนใหญ่พุ่งเป้าโจมตีงบฯที่มีการซ่อนเร้น ซ่อนเงื่อน อ้างเป็นงบลับไม่ให้มีการตรวจสอบ อาทิ นายชยพล สะท้อนดี สส.กทม.พรรค ก.ก. อภิปรายถึงงบฯของกองทัพบก (ทบ.) จัดซื้อที่นอนยางพาราขนาด 3 ฟุต หนา 4 นิ้ว จำนวน 277 ชิ้น วงเงิน 1,246,500 บาท ตกชิ้นละ 2,885 บาท ทั้งที่ราคาในแอปฯสีส้มอยู่ที่ชิ้นละ 1,449 บาทเท่านั้น หรือจัดซื้อกรวยแสดงทิศทางลม 25 ชุด ราคา 450,000 บาท ตกชุดละ 18,000 บาท แต่ราคาในแอปฯสีส้มอยู่ที่ชุดละ 4,300 บาท ทั้งที่มีลักษณะเป็นแค่ธงปลาคาร์ปไว้แสดงทิศทางลม แต่งบเหล่านี้เอาไปซ่อนอยู่ในเอกสารลับ ไม่ให้ตรวจสอบ อ้างเป็นงบฯลับเพื่อความมั่นคง ให้ไปถามสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เอง เหมือนตีเช็คเปล่าไม่มีข้อมูลใดๆ เป็นความมั่นคงของประเทศ กองทัพ หรือความมั่นคงเพื่อความมั่งคั่งของใครทสท.เฉ่ง 3 เหล่าทัพซ่อนงบลดไม่จริงขณะที่เรืออากาศโทธนเดช เพ็งสุข สส.กทม.พรรค ก.ก. อภิปรายถึงการตัดลดงบฯการจัดซื้อเรือฟริเกต 1 ลำ วงเงิน 17,000 ล้านบาท มีเหตุผลใด กองทัพเรือ (ทร.) ต้องไม่ใช่เหยื่อการเมือง การจัดงบแบบนี้อาจเกิดวิกฤติในกองทัพ ทำให้กำลังพลน้อยใจ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) อภิปรายว่า งบกลาโหมที่ระบุปรับลดงบ 2,485 ล้านบาท หรือลดลง2.8% ปรับลดไม่จริง เพราะถูกเอาไปซ่อนอยู่ในรายการของงบผูกพันปี 2568-2569 เช่น งบ ทร.มีโครงการผูกพัน 9 โครงการ ตั้งแต่ปี 2557-2574 เป็นงบรวม 44,618 ล้านบาท หรือกองทัพอากาศ (ทอ.) บอกปรับลดงบ 103 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า มีงบผูกพันใหม่ตั้งแต่ปี 2568-2570 มากถึง 5,709 ล้านบาท รวมแล้วงบทั้ง 3 เหล่าทัพ ลดไม่จริง เพราะไปอยู่ในงบผูกพันปี 2568-2570 ที่เป็นโครงการใหม่รวมแล้ว 36,231 ล้านบาท เป็นงบ ทบ. 9,641ล้านบาท ทร. 20,879 ล้านบาท ทอ. 5,709 ล้านบาทกมธ.ไฟเขียวให้ซื้อเรือฟริเกตปีหน้าด้านนายธเนศ เครือรัตน์ กมธ.งบฯปี 2567 ชี้แจงว่า งบผูกพันกองทัพ กรณีงบผูกพัน ทอ. 10 โครงการ กว่า 6,000 ล้านบาทนั้น กมธ.ได้ท้วงติงกับ ทอ.ในเรื่องดังกล่าว ทอ.ยืนยันถึงความจำเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของนักบิน และผู้โดยสารที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เช่น โครงการปรับปรุงเครื่องยนต์ 32 เครื่องของเครื่องบินซี 130 จำนวน 8 เครื่อง ถึงเวลาต้องปรับปรุง โครงการพัฒนาขีดความสามารถซ่อมบำรุงเครื่องยนต์แบบที 2 ที่ ทอ.ยืนยันต้องปรับปรุงภายในปีนี้ มีการจัดดหาชิ้นส่วนระบบสละอากาศยนต์ฉุกเฉินคือ เก้าอี้ดีดตัวถึงเวลาต้องเปลี่ยน ส่วนการตัดงบจัดซื้อเรือฟริเกต 1 ลำ วงเงิน 17,000 ล้านบาทนั้น เนื่องจาก ทร.ไม่มีทีโออาร์ชัดเจนจะจัดซื้อจากประเทศใด เกรงว่าจะเกิดปัญหาเหมือนเรือดำน้ำ ให้ตัดงบเฉพาะในส่วนปี 2567 ยืนยันว่า กมธ.ยังเห็นถึงความจำเป็นให้ไปจัดซื้อในปีถัดไป หลังจากอภิปรายครบถ้วนที่ประชุมลงมติให้ความเห็นชอบมาตรา 8 ตามที่ กมธ.เสนอ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะพท.เดือด “เรืองไกร” พาดพิงนายใหญ่ต่อมาเวลา 17.00 น. เริ่มเกิดปะทะคารม ในมาตรา 9 งบฯกระทรวงการคลัง และหน่วยงานในกำกับ ระหว่างนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กมธ.ฯกับ สส.พรรคเพื่อไทย (พท.) โดยนายเรืองไกร อภิปรายขอปรับลดงบฯกรมสรรพากร 45 ล้านบาท โดยพาดพิงถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยกกรณีคำพิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์ให้นายทักษิณชนะคดีภาษีของกรมสรรพากร ทำให้ สส.พรรค พท.ดาหน้าลุกขึ้นประท้วงนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯประธานที่ประชุมว่า นายเรืองไกรอภิปรายนอกประเด็น นายพิเชษฐ์ ประธานในที่ประชุมได้ขอให้อภิปรายอยู่ในประเด็น ก่อนอนุญาตให้นายเรืองไกรอภิปรายต่อ กระทั่งนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ขึ้นมาทำหน้าที่ประธานที่ประชุมแทนนายพิเชษฐ์ การประชุมจึงดำเนินเป็นไปอย่างราบรื่น และลงมติผ่านมาตรา 9 ไปด้วยดีสับบัวแก้วใช้งบเดินทางเพิ่ม 200%เวลา 18.15 น. เข้าสู่การพิจารณามาตรา 10 งบฯกระทรวงต่างประเทศ ที่ กมธ.ปรับลดเหลือ 4,863,050,800 บาท จากเดิมที่เสนอ 5,063,050,800 บาท มีผู้อภิปรายแค่ 2 คน อาทิ นางศนิวาร บัวบาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก.กล่าวว่า ขอตัดลด 3%เนื่องจากหลายรายการเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากปีที่แล้ว อาทิ โครงการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติด้านความมั่นคง หรือโครงการยกระดับบทบาท และสถานะไทยในประชาคมโลกที่เพิ่มขึ้น 4-5 เท่าจากปีที่แล้ว แต่ไม่มีความชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง ขอเสนอให้มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการตีเช็กเปล่า โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการต่างประเทศสูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 200 ทั้งๆที่การใช้งบปี 2567 เหลืออีกไม่กี่เดือน ก่อนที่ประชุมลงมติเห็นชอบผ่านมาตรา10 นายกฯหนุนควายซอฟต์พาวเวอร์เมื่อเวลา 08.45 น. ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ อุปนายกสมาคมพัฒนาพันธุ์ควายไทย และนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล เจ้าของวนาสุวรรณฟาร์ม ได้นำ “น้องโก้เมืองเพชร”ควายเผือกเพศผู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อายุ 4 ปี 11 เดือน น้ำหนัก 1,500 กิโลกรัม เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เพื่อให้รัฐบาลส่งเสริมและต่อยอดการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับควายไทย ในการส่งเสริมสายพันธุ์ ส่งเสริมให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ อยากจัดให้มีโรดโชว์พ่อพันธุ์ควายไทยในประเทศจีน สปป.ลาว เวียดนาม และวันที่ 13-14 เม.ย. เทศกาลสงกรานต์จะนำ “น้องโก้เมืองเพชร” ควายยักษ์อีก 4-5 ตัว มาเล่นน้ำสงกรานต์ ที่ถนนข้าวสาร เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวประชาสัมพันธ์ควายพันธุ์ไทย โดยนายกฯกล่าวว่า ไม่เคยทราบว่า มีควายที่สวยขนาดนี้มาก่อน ถือว่าพัฒนามาได้ดีจะส่งเสริมเป็นซอฟต์พาวเวอร์ จากนั้นนายกฯได้สั่งการให้นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนำควายพันธุ์ไทยไปโรดโชว์ที่ประเทศจีนช่วงเดือน พ.ค.ฟุ้งสร้างรายได้ดีกว่าปลูกข้าว 3 เท่าต่อมานายกฯทวีตผ่าน X ว่า เราสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมควายไทยโตได้กว่านี้ สมาคมได้นำน้อง “โก้ เมืองเพชร” ค่าตัว 18 ล้านบาท มาพบที่ทำเนียบฯ สวยมากๆเป็นของดีอีกอย่างของเมืองไทย มีอัตลักษณ์ ได้ขอให้รัฐบาลช่วยส่งเสริมให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ หากเอาไปโรดโชว์ขายที่มีตลาด จีน เวียดนาม จะมีมูลค่าสูงขึ้นทันที หากส่งเสริมให้เลี้ยงเป็นกิจลักษณะต่อยอดสร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรอีกมาก เช่น นมควาย เสื้อฟาร์มควาย กางเกงควาย การปลูกหญ้า รวมๆสร้างรายได้ให้เกษตรกรดีกว่าปลูกข้าวถึง 3 เท่า และมูลควายยังทำปุ๋ยอินทรีย์ขายได้ราคาบอกถึงเวลาส่งออกซีรีส์วาย-ยูริไทยต่อมาเวลา 14.00 น. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และผู้บริหารผู้จัดทำและนักแสดงซีรีส์วาย-ยูริ เรื่อง “ปิ่นภักดิ์” เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติและแสดงศักยภาพในการจุดประกายนำซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่สากล โดยมีนักแสดงนำของทั้งสองเรื่อง คือ มาย (นายภาคภูมิ ร่มไทรทอง) อาโป (นายณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) ฟรีน (น.ส.สโรชา จันทร์กิมฮะ) และ เบคกี้ (น.ส.แพทรีเซีย อาร์มสตรอง) เข้าร่วม โดยนายกฯได้ทวีตผ่าน X ว่า It’s Thai time! นี่คือเวลาของประเทศไทย ไม่มีตอนไหนที่เหมาะจะลงทุนค้าขาย ท่องเที่ยวในไทยมากกว่าตอนนี้ คาดการณ์ว่าปี 67 มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ซีรีส์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องพุ่งถึง 1 หมื่นล้านบาท ต้องขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ ขอบคุณเหล่าน้องๆนักแสดง ที่ช่วยกันโชว์สินค้า แหล่งท่องเที่ยว อาหาร รวมถึงศักยภาพอื่นๆของประเทศไทย ให้เป็นที่รู้จักในหมู่คนรุ่นใหม่ ทั้งผ่านทางซีรีส์ รวมทั้ง Social Media ที่มีฐานแฟนคลับกว่า 3 ล้านคน จาก 100 ประเทศทั่วโลกย้ำจุดยืน ปชต.ต้องเป็นหนึ่งเดียวเมื่อเวลา 09.27 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโซล เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง) ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อหลัก Democracy for Future Generations ผ่านบันทึกวีดิทัศน์ตามคำเชิญนายยุน ซ็อก ย็อล ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ตอนหนึ่งว่า ทุกวันนี้ประชาธิปไตยเผชิญความท้าทาย ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มมากขึ้น และผลจากโซเชียลที่ทำให้เกิดความแตกแยก ทั้งนี้ประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จต้องตอบสนองความต้องการประชาชนในหลากหลายมิติ สิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม และประชาธิปไตยต้องเป็นหนึ่งเดียวและเป็นสากล ผู้นำต้องรับฟังเคารพเจตจำนงประชาชนต้องฟังจากเยาวชนมากขึ้นเพราะนั่นคือ วิธีที่รับประกันได้ว่าประชาธิปไตยจะเติบโตต่อไป และเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาคนรุ่นต่อไปในอนาคต อนุทิน ชาญวีรกูล“อนุทิน” ลั่นอย่าวัดผลงาน รมต.ที่สื่ออีกเรื่องกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้คุยหารือในเรื่องนี้ นายกฯไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร การปรับครม.ในรัฐบาลผสม หัวหน้ารัฐบาลต้องให้เกียรติกับพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว จะปรับเมื่อไหร่ต้องแจ้ง ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับสัญญาณอะไร รัฐมนตรีทุกคนทำงานหนักมาก อย่าไปวัดว่าคนที่ทำงานหนักคือคนที่ออกข่าวบ่อย บางคนพูดไม่เก่ง ไม่อยากพูด รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เราประเมินทุกวัน แจ้งตั้งแต่วันที่เข้ามาแล้วว่า เราวัดกันที่ผลงาน ทุกคนต้องทุ่มเทกับงานที่ได้รับมอบหมาย และต้องทุ่มเทให้กับพรรคลงไปช่วย สส.ลงพื้นที่ ถ้าใครไม่เข้าเกณฑ์นี้ จะถูกพิจารณา โดยในวันที่ 24 มี.ค.จะประชุมพรรค ภท.และจะมีการเปลี่ยน แปลงเป็นอีกบริบทหนึ่ง ที่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ต้องเดินหน้าปรับปรุงการทำงานทุกวัน“อ้วน” ยันข้าวจำนำไม่เน่าขายได้อื้อที่รัฐสภา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการตรวจโกดังข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่ จ.สุรินทร์ว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาพบข้าวทั้ง 2 โกดังมีกว่า 150,000 กระสอบ เพราะมีการร้องเรียนว่าโกดังเก็บข้าวเน่า แต่เจ้าของโกดังมั่นใจว่าเก็บรักษาดูแลอย่างดีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เก็บรักษารมยาตลอด มีเจ้าหน้าที่เป็นสักขีพยานเพื่อให้เกิดความชัดเจน และสามารถขายข้าวดังกล่าวได้ ที่ผ่านมามีความเสียหายเรื่องค่าเช่าโกดังเก็บข้าวแต่ขายข้าวไม่ได้ จากการสุ่มตรวจหลายกระสอบที่อยู่ในโกดัง เม็ดข้าวโดยรวมเหมือนกันเป็นเม็ดดี มีจมูกข้าว สีจางไปบ้างแต่ยังมีความหอม นำบางส่วนแต่ละกระสอบหุงลองชิมไม่มีปัญหา มีแนวคิดนำไปเปิดประมูลขายโดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) น่าจะขายได้ประมาณ 300-500 ล้านบาท หากยังมีโกดังอื่นที่ตกค้าง ทิ้งค้างไว้ยิ่งนานวันจะมีปัญหา ช่วงนี้ราคาข้าวกำลังดีต้องเร่งดำเนินการศาล รธน.ไม่วินิจฉัยปม พท.แก้ ม.112วันเดียวกัน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่เอกสารข่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี เรื่องการพิจารณาเรื่องที่นายเรืองไกรลีกิจวัฒนะ (ผู้ร้อง) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49ว่า การกระทำของพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้อง) ตามคำแถลงการณ์ของนายชัยเกษม นิติสิริ เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2564 เกี่ยวกับการแก้ไข ป.อาญามาตรา 112 มีตราพรรคผู้ถูกร้องอยู่ด้วย มีลักษณะเป็นการสนับสนุนการกระทำที่อาจนำไปสู่การยกเลิกป.อาญามาตรา 112 ในลักษณะที่ไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ นอกจากนี้ผู้ร้องตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมพบว่า ผู้ถูกร้องยังคงไว้ซึ่งคำแถลงการณ์ของนายชัยเกษม ในสื่อโซเชียลของผู้ถูกร้องจนถึงปัจจุบัน เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ปรากฏว่า นายชัยเกษมไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค และไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทน ผู้ถูกร้องและไม่ปรากฏข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้อง มีความมุ่งหมายหรือการกระทำใดๆที่น่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯตามรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยสั่ง กกต.ทำคำร้องยุบ ก.ก.มาใหม่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในวันนี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องยุบพรรค ก.ก.จากคำร้องของ กกต.ในวันนี้ เนื่องจากคำร้อง กกต.ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล ยังมีเอกสารบางรายการไม่ชัดเจน จึงขอให้ผู้ร้องส่งเอกสารที่ชัดเจนต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในกำหนดระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฝากขัง “ตะวัน-แฟรงค์” อีก 12 วันเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคำร้องคดีที่พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ฟ้อง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ ผู้ต้องหาคดีขัดขวางขบวนเสด็จ เป็นการฝากขังครั้งที่ 4 นัดนี้พนักงานสอบสวนมาศาล และนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความผู้ต้องหาได้ยื่นคัดค้าน ส่วนผู้ต้องหาใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาจาก รพ.ธรรมศาสตร์และ รพ.เรือนจำ ตามอันดับ พ่อแม่ของตะวันยินยอมให้ศาลไต่สวนโดยไม่มีตะวันเข้าร่วม ส่วนแฟรงค์เข้าร่วมทางคอนเฟอเรนซ์ใน ลักษณะนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ต่อมาศาลได้ไต่สวนผู้ร้อง และฝ่ายผู้ต้องหา แล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังได้อีก 12 วันอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่