พุ่งแรงขึ้นแท่นศิลปินหนุ่มสุดฮอต!! โดดเด่นทั้งสไตล์และเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ หนุ่ม “เจฟ ซาเตอร์ (Jeff Satur)” ศิลปินค่าย Wayfer Records ภายใต้สังกัด Warner Music Thailand พร้อมเปิดสังกัดตัวเอง Studio On Saturn ได้เฉิดฉายเผยความสามารถหลากหลายด้าน กว่าจะถึงวันนี้ 10 ปีในวงการเพลงที่ทุ่มเทตั้งใจผ่านเส้นทางทั้งความผิดพลาด ความสมหวังจนมาสู่วันที่ประสบความสำเร็จเป็นศิลปินแถวหน้าของวงการเพลง เพิ่งปล่อยอัลบั้ม SPACE SHUTTLE NO.8 พร้อมมีคอนเสิร์ตเอเชียทัวร์ครั้งแรก ทัวร์คอนเสิร์ตใน 6 เมืองใหญ่ในเอเชียปิดท้ายด้วยประเทศไทยใน “est Cola Presents JEFF SATUR : SPACE SHUTTLE NO.8 ASIA TOUR IN BANGKOK” จัดขึ้นในวันที่ 20 และ 21 เม.ย.2567 ที่ยูโอบี ไลฟ์ ศูนย์การค้า เอ็มสเฟียร์ เลยชวน “เจฟ” เล่าถึงการเดินทางเริ่มจากเล่าถึงอัลบั้ม SPACE SHUTTLE NO.8?“เป็นที่อัลบั้มแรกในชีวิตซึ่งกว่าจะมีวันนี้ก็คือใช้เวลา 10 ปีในการทำ แต่งเพลงทั้งหมดใช้เวลา 2 ปี มันเริ่มตั้งแต่เพลง Highway แล้วก็หลังจากนั้นมาก็จะเป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะเป็น ลืมไปแล้วว่าลืมยังไง หรือว่าซ่อน (ไม่) หา, ส่วนน้อย ต่างก็จะไปอยู่ใน “est Cola Presents JEFF SATUR: SPACE SHUTTLE NO.8 ASIA TOUR” ที่เป็นเอเชียทัวร์ของผม”ทำ 2 ปีแต่อัลบั้มคือ 10 ปีที่รอคอย? “ครับ 10 ปีที่รอคอยจริงๆ 10ปีจากวันที่เริ่มฝันมีอัลบั้ม ซึ่งเป็นความฝันของศิลปินหลายๆคน เพราะอัลบั้มจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เป็นเรื่องราวที่มันเป็นสีที่เหมือนกัน ไม่ต้องเป็นแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงที่รู้สึกว่ามันไม่แมสเลย เราได้ทำเพลงที่เราอยากทำทั้งหมด เป็นเรื่องเดียวกัน”ล่าสุดเพลงซ่อน (ไม่) หา กับส่วนน้อย ก็ต่อเนื่องกัน? “ใช่ มันเป็นซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ต่อกัน ก็เป็นแพลนที่เราคิด ก็เป็นการปิดอัลบั้มโดยแบบสงบสุข ด้วย เพลงส่วนน้อยเท่านั้นเป็นเพลงรักเพลงเดียวที่ปล่อยมาใน 10 เพลง”เราวางเรื่องราวของอัลบั้มนี้ยังไง? “มันมีเรื่องราวข้างในนั้น เช่น แต่ละเพลงแต่ละเอ็มวีมันก็จะถูกยึดโยงโดย Space Shuttle เหมือนเป็นกระสวยอวกาศลอยอยู่ในอวกาศรูปแบบรถไฟจะเห็นสิ่งต่างๆผ่านหน้าต่างในแต่ละสเตชัน เราก็จะเห็นชีวิตผมตั้งแต่หลายปีก่อน อาจจะก่อน 10 ปีที่เราเจอมา ก็เหมือนเรานั่งดูไปเรื่อยๆจนสถานี สุดท้าย” เพลงเกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงนึงหรือว่าค่อยๆมา? “ค่อยๆมา จริงๆผมเป็นคนที่ไม่ค่อยแต่งเพลงสต๊อกไว้ แต่งเสร็จแล้วก็ปล่อยเลย อย่าง ซ่อน (ไม่) หา ใช้เวลาไม่นานเลย บางเพลงอย่าง ส่วนน้อย ก็คือ 2 ปีที่แล้วเคยเขียนเมโลดี้ไว้ในเมมโมในโทรศัพท์ กลับมาฟังรู้สึกว่าเหมาะเลยเอาเพลงนี้มาเป็นเพลงปิดอัลบั้ม”เพลงร้อยเรียงผ่านเรื่องราวของเรา? “ใช่ มันเป็นเรื่องราวของเรา ที่เราเจอมาแล้วเป็นเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ มันถึงจะทัชกับคนที่ฟังเพลง เค้าก็จะไปตีความในแบบของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผมก็อยากให้เพลงมันเป็นแบบนั้น” หลายคนบอกว่าภาษาที่ใช้ในเพลง ของ “เจฟ” เป็นคำที่สละสลวย?“น่าจะมาจากการที่ผมอ่านหนังสือเยอะ อ่านหนังสือปรัชญา ประวัติศาสตร์ เหมือนมีคำศัพท์ค่อนข้างเยอะ แล้วผมเป็นคนที่อยากให้เนื้อเพลงมันมีแต่คำคล้องจองกัน เวลาที่แต่งอะไรที่มันคล้องจองกันได้มันมีความสุข บางทีอยากดึงคำที่ไม่ค่อยได้ยิน เช่น “เคยทรมานแต่ฉันเริ่มด้านชา เคยภาวนาแต่ฉันเริ่มระอา” มีความเป็นไทยเดิมอะไรบางอย่าง เช่น “โอใจไยเจ้าจึงไม่ลืม ไม่ลืม” คำนี้มันไม่คุ้นหูแต่ว่าพอฟังแล้วมันเหมือนเราได้ย้อนกลับไปใน Time Travel ของเรา”ทั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่แต่ชอบซึมซับคำเก่าๆ? “เราเชื่อเสมอว่าซาวด์ที่เป็นเอกลักษณ์มันคือการที่เราดึงความเป็นตัวเราออกมา เด็กๆเราเจออะไร เรียนนาฏศิลป์ จริยธรรม รำไทย คำกลอนต่างๆ เราเจอเพลงหมอลำ เพลงลูกทุ่ง เราได้ยินแม่บ้านเราเปิดมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นซาวด์ที่ต่อให้ไปหาที่ไหนในโลกก็จะไม่เจอแล้วเพราะว่าไม่มีใครใช้ชีวิตมาเหมือนผม ทุกคนจะมีซาวด์ของตัวเองว่าเจออะไรมาตอนเด็กๆ เคยเรียนอะไรมา เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เป็นเอกลักษณ์ได้เราต้องดึงความเป็นตัวเราออกมาให้มากที่สุดก็คือนี่แหละ แล้วสุดท้ายมันก็จะมีใครบางคนที่เฮ้ยเราก็โตมากับการฟังหมอลำเหมือนกัน ฟังขับเสภาเหมือนกัน รู้จักกลอน ก็จะไปเชื่อมโยงกับคนเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งคนไทยด้วยก็ว่าใช่ เพลงดึมๆ ก็จะมีเออเอิงเอย โดยที่มันไม่ได้ดูพยายามยัดลงไป คือต้องให้เป็นธรรมชาติก็จะได้ซาวด์ เหล่านั้นออกมาเอง เราใส่เพราะมันเวิร์กกับตรงนั้น มันจะดีที่สุดอย่างคำว่า ah..ah..won’t find you มันคือคำว่า I ให้คำภาษาอังกฤษแต่ร้องแบบไทย”เพลงเศร้าทั้งหลายของเจฟก็เฮิร์ตเจ็บขยี้หัวใจ?“ส่วนใหญ่ครับ ก็เศร้าเป็นเพื่อนกัน ร้องไห้เป็นเพื่อนกัน (ยิ้ม) ผมเชื่อว่าฟังเพลงเศร้าบางทีมันเยียวยาไง แล้วแต่คนนะ อย่างเพลงซ่อน (ไม่) หา เวลาไปอ่านคอมเมนต์ หลายๆคนก็แบบเหมือนทำให้เรามูฟออน เพลงดึมๆก็ทำให้รู้สึกว่าเข้มแข็งขึ้น” อะไรทำให้เราอินกับเพลงเศร้า? “ผมว่าจริงๆ เราจำความเศร้าได้ดีกว่าความสุขอยู่แล้ว ต่อให้พื้นที่ขาวแค่ไหนเราก็โฟกัสตรงของที่วางบนนั้นมันเหมือนเป็นอะไรที่มันโดดเด่นขึ้นมาในนี้ ความขาวสะอาด ผมรู้สึกว่ามันเป็นความสวยงามของศิลปะที่ว่า ร่องรอยพวกนี้ ถ้าเราไปทำสายงานที่นั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์เราอาจจะไม่ได้หยิบความเศร้ามาใช้ แต่ในเชิงงานที่ต้องใช้อารมณ์เข้าร่วม มันต้องไปดึงจุดนั้นออกมา ดึงความเศร้า ดึงความสุข ไม่ว่าจะเป็นงานเพลงหรืองานแสดงก็ตาม”มีเพลงรักหวานมีความสุขบ้างมั้ย? “เพลงส่วนน้อย ก็มีความหวานอยู่นะแต่ว่าอาจจะเป็นโบนัสแทร็กในเพลงที่ 18 เพลงวันเสาร์เป็นเพลงที่แต่งให้แฟนคลับ อันนี้หวานละมุนตุ้นเลย มันก็คือมุมมองเราต่อคนวันเสาร์ว่ามันเข้ากับเรายังไง รู้สึกยังไง เราก็เลยเขียนสิ่งนั้นออกมา” การเดินทาง 10 ปีมันก็ไม่ง่าย อะไรทำให้เราไม่หยุด?“จริงๆมันไม่ใช่แบบว่าเราไม่หยุดหรอกครับ แต่ว่ามันหยุดไม่ได้ เวลาเราชอบอะไรมากๆ อย่างถ้าเราชอบเล่นเกมมากก็จะหยุดเล่นเกมไม่ได้ คือเราชอบดนตรี ชอบเล่าเรื่อง มันหยุดไม่ได้ มันจะต้องหาเวย์ในการทำมันสักอย่าง คือผมชอบทำบล็อก ชอบเขียน อยากเล่าอะไรให้ใครสักคนฟัง บางทีก็มาทำเป็น podcast แต่เราชอบดนตรี เราโตมากับดนตรี เราเรียนดนตรีมานานแล้วรู้สึกว่ามันเสียดายตรงนี้ เรายังไม่ได้เล่าในรูปแบบดนตรีเลย เลยกลับมาทำดนตรีเต็มตัว”กับการเดินทางมาถึงวันนี้รู้สึกยังไง? “ผมก็รู้สึกว่ามันก็เป็นเหมือนเป็นเป้าหมายที่เราไปถึงไปเรื่อยๆ พอไปถึงแล้วเราก็มีเป้าหมายต่อไป ไปเรื่อยๆ จนเราก็ไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน แต่แค่เราต้องแน่ใจว่าในการทำแต่ละอย่างมันสนุก มันมีความสุขนะ”มีความกดดันตัวเองบ้างมั้ย? “กดดันเหรอ ผมกดดันในงานตัวเองมากกว่า เช่น เราจะทำงานอันนี้ออกมาให้เป็นแบบในหัวเราได้ยังไง บางทีผมเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ ว่าถ้านี่มันไม่ใช่ ก็จะทำยังไงก็ได้ให้มันใช่ ต่อให้มีเวลาน้อยมากก็จะทำ แล้วบางทีแบบเครซี่ บ้าไปแล้ว ก็จะไปกดดันตรงนั้น แต่พอผลงานเสร็จแล้วจะไม่กดดันแล้ว เพราะว่ามันจบในตัวมาแล้ว สมมติว่าเพลงปล่อยไปแล้วจะไม่กดดันแล้วว่ามันจะออกมาดีไม่ดี เราทำมันออกมาด้วยความเต็มร้อยแล้ว มันก็เป็นหน้าที่ของเพลงแล้ว”เวลาทำไม่ได้แล้วกดดันตัวเองจัดการยังไง? “ด่าตัวเองบ้าเอ๊ย อะไรวะเนี่ย บ่นๆๆ แล้วก็นอน ตื่นกลับมาทำใหม่”เป็นคนขี้บ่น? “บ่นๆๆ คุยกับตัวเองบ่อยมาก อยู่ในห้องอัดคุยกับตัวเองประจำ ก็มีทะลาะกับตัวเองบ้างว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ได้สักที ส่วนมากจะไปนอนก่อนนอนสักประมาณชั่วโมงนึงกลับมาก็ทำได้”คนรอบข้างเข้าใจมั้ยเวลาเราอยู่ในโหมดนี้? “ไม่เข้าใจ เวลาผมบรีฟงานไม่ค่อยมีใครเข้าใจเท่าไหร่ (ยิ้ม) เหมือนบรีฟให้ตัวเองฟัง คือเรามีอะไรในหัว มันอยู่ในหัวเราแล้วเราอยากจะเล่ามายังไงดีให้มันแบบออกมาตามที่เราคิด”แต่เราก็หยิบอะไรในตัวออกมาใช้ได้เยอะมาก? “เยอะมากเลยครับ ก็มันเหมือนเราเจออะไรมาเยอะไงมันเหมือนเราไปเรียนรู้นู่นนี่ จริงๆเพราะว่าเราผิดพลาดล้มเหลวมาเยอะ เราก็เลยรู้ว่าทางที่เราควรจะทำคืออะไร ผมจะเก็บจากสิ่งที่แพ้ๆ ล้มเหลว” เรามองว่าการเดินทางหรือล้มเหลวอยู่ในช่วงไหน? “ทุกวันนี้มันก็ยังมีอะไรที่ล้มเหลวและผิดพลาดอยู่เสมอก็เรียนรู้กับมันไป แค่เราต้องไม่ปล่อยเวลาที่เราล้มเหลวไว้เฉยๆ วิธีที่ทำให้ผมลุกขึ้นจากความเฟลได้คือ ผมรู้แล้วว่าล้มเหลวแล้วเราเรียนรู้อะไร ครั้งต่อไปเราจะไม่ทำพลาดอีก ใน 10 ปีนี้ก็ล้มเหลวไปเรื่อยๆแต่ก็ยังมีค่อยๆเรียนรู้ไป เราก็ต้องเก่งขึ้นเรื่อยๆ”มีถึงขั้นท้อไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้มั้ย? “ก็มีครับ แต่ว่ามันก็หยุดไปได้แป๊บเดียวเพราะว่าสุดท้ายเราชอบไง มันก็หยุดไม่ได้กลับมาทำอยู่ดี” เป็นเอเชียทัวร์ครั้งแรกเตรียมตัวแต่ละประเทศยังไง?“จริงๆโชว์แต่ละประเทศคล้ายกัน เอเนอร์จี การเล่นกับคนดูมากกว่าที่จะต่างกันออกไปผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ไปเล่นต่างประเทศหรือต่างเมือง ผมชอบมากๆ อยากจะเก็บบรรยากาศตรงนั้น อยากเห็นว่าเวลาที่เค้าฟังเพลงเราแล้วรู้สึกยังไง”ปิดท้ายของที่กรุงเทพฯล่ะ? “จะเป็นอะไรที่ใหญ่ที่สุดเพราะว่ามันเป็นดินแดนที่เราเติบโตมาแล้วมันก็จะมีรายละเอียดโชว์ที่ต่างไป เช่น แขกรับเชิญแต่ละรอบก็ต่างกันด้วย แต่ยังไม่บอกครับ แต่ผมว่าทุกคนรู้จักและเคยฟังเพลงพวกเค้า”การซุ่มซ้อมคอนเสิร์ตล่ะงานก็เยอะ? “เต็มที่ครับ พาร์ตเต้นด้วย พาร์ตดนตรีอีก ก็ต้องแบ่งเวลานิดนึงเราจะมีบินไปต่างประเทศด้วยก็ยากที่จะหาเวลาซ้อม”เรื่องเต้นจะได้เห็นหลายสเต็ปเลยมั้ย? “ก็ดุเดือด ท่าเต้นยากมากครับ ผมเชื่อว่าน่าจะชอบ”ด้วยเพลงด้วยคอน เซปต์ทำให้เราดูลึกลับ แล้วความเป็นเจฟ ซาเตอร์ จริงๆล่ะ?“ผมว่าทุกอย่างมัน คือความเป็นเจฟ ซาเตอร์ อีกตัวละครหนึ่งที่ทุกคนเห็นในเพลงแบบผมขาวหรือดำมันเป็นการเปรียบเปรยตัวเองในเชิงเพอร์ฟอร์มเมอร์ กับคนที่เป็นแบบคนเขียนเพลงมากกว่า บนเวทีผมก็เป็นอีกคนนึง เป็นคนเขียนเพลงผมก็เป็นอีกคนนึง แค่ว่าเราเป็นคนไหนตอนไหน แล้ว 2 คนเป็นคนที่แบบต่างกันสุดขั้ว ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมพอเป็นเพอร์ฟอร์มเมอร์ก็จะได้เอเนอร์จีจากคน ส่วนพอแต่งเพลงผมก็ได้เอเนอร์จีอยู่คนเดียว มันจะเป็นอะไรที่ต่างกันแต่ว่าอยู่ที่เลือกสลับที่” เพลงนำพามาจนทุกวันนี้คือศิลปินแถวหน้ามาแรง แล้วเป้าหมายต่อไปคืออะไร? “ขอบคุณมากครับ จริงๆ ความฝันก็ทำเวิลด์ทัวร์ อยากทำงานแสดงอีกเยอะๆ พอได้ไปเล่นหนังแล้วชอบ ถ้าเป็นได้อยากเล่นหนังฝั่งฮอลลีวูด หรือได้ไปเล่นคอนเสิร์ตที่อเมริกา ยุโรป ละตินอเมริกา”ล่าสุดตัดผมสั้น หลังจากไว้ผมยาวมาตลอด ชินรึยัง? “ตัดผมเพราะเล่นหนัง อยากลองดูนะ ผมเป็นคนที่เวลามีอะไรใหม่ๆก็อยากลอง มันก็หวงนะแต่มันก็อาจจะเห็นตัวเองในแบบที่แปลกไปบ้าง ผมเดี๋ยวมันก็ยาว ผมเป็นคนผมยาวไวมาก 2-3 เดือนผมก็คงไปเป็นทรงเดิมแล้วมั้ง ก็อาจจะเป็นแบบนั้น”ตัดผมแล้วดูหน้าเด็กเลยนะ? “หน้าเด็กไปผมไม่ค่อยชอบ (หัวเราะ) มันก็ดูแบบว่าดูหอมๆ ดูคลีนๆ ไม่รู้มันเป็นคาแรกเตอร์ที่ผมชอบไว้ผมยาวจริงๆ ผมชอบโยชิกิ เสพอะไรมาก็เป็นแบบนั้น”แฟนๆแซวเรื่องตัดผมมั้ย? “เค้าชอบนะ บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ ก็ตีกันบ้างแบบน่ารักๆ”ทุกวันนี้ขยับอะไรก็มีแรงซัพพอร์ตมากมายจากแฟนๆตลอด? “ก็รู้สึกขอบคุณ รู้สึกอบอุ่นจริงๆ ที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็เหมือนมีคนคอยอยู่ข้างหลัง เราก็รู้สึกว่าเออ เราทำมันได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเป็นยังไง เพราะมีคนคอยสนับสนุนเสมอ หลายคนถามผมว่าเติบโตมาจนตรงนี้ทำไมถึง humble มากๆเพราะว่าผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จมาจากแฟนๆเป็นส่วนมาก ตัวผมอาจจะ 30% ส่วนใหญ่มาจากแฟนๆ ทีม ค่าย ผู้คนทำงานรอบตัว มันไม่ใช่ผมคนเดียว”.เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัยคลิกอ่าน “คนดังนั่งคุย” เพิ่มเติม