สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวการเสียชีวิตของสาววัย 26 ปี ถูกสามีทำร้ายและนำศพไปเผาอำพรางคดี กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ที่หลายคนตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องของอาการทางจิตเวช การเสพติดความรุนแรงจนเป็นนิสัย หรือด้วยสาเหตุอื่นๆมนุษย์ทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมความรุนแรง แสดงออกถึงความก้าวร้าว เช่น ด่าทอเสียดสี ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงก่ออาชญากรรม ได้ แต่การเกิดพฤติกรรมเหล่านี้อาจไม่ใช่อาการทางจิตเวชเสมอไปจากข่าวที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าผู้เป็นสามีที่ก่อเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ มีการกระทำรุนแรงต่อภรรยาครั้งแล้วครั้งเล่าในทางจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า สาเหตุของความรุนแรงมี 2 สาเหตุสำคัญ คือ 1.โรคทางจิตเวช ที่มีผลให้ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง มักจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจาก 3 โรค คือ Oppositional Defiant Disorder หรือโรคดื้อและต่อต้าน พบในเด็กอายุ 3-12 ปี โดยจะพบมากในวัย 8 ขวบ เด็กที่เป็นโรคดื้อต่อต้านจะมีพฤติกรรมต่อต้านคำสั่งของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง โมโหร้าย จงใจต่อต้านขัดขืน เมื่อเด็กโตขึ้นและอาการดังกล่าวยังไม่ได้รับการรักษา ก็มีแนวโน้มสูงที่โรคจะพัฒนาเป็น Conduct Disorder ซึ่งเป็นอาการที่พบในเด็กตั้งแต่ก่อน 7 ขวบ ไปจนถึงอายุ 16 ปี อาการเด่นคือ ก้าวร้าวรุนแรง ชอบใช้ความรุนแรงในทุกสถานที่และทุกสถานการณ์ที่สามารถทำได้ เป็นต้นเหตุของอาชญากรรมเด็ก เช่น ต่อยตี ขโมยของ เสพยา ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย วางเพลิง จนถึงสามารถฆ่าคนได้ และหากอาการข้างต้นยังคงไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถพัฒนาโรคไปสู่ Antisocial Personality Disorder ในวัยผู้ใหญ่ คือ ตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไปได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้พฤติกรรมทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นและรักษายากมากยิ่งขึ้น2.การเลี้ยงดู พ่อ แม่ ผู้ปกครอง คงคุ้นเคยกับสุภาษิตคำพังเพยที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” ความรุนแรงก็เช่นเดียวกัน หากเด็กๆเติบโตมากับ “แม่พิมพ์” แบบไหนเขาก็จะมีรูปทรงแบบนั้น หากเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เลี้ยงดูดี ให้ความใส่ใจอบรมสั่งสอน เด็กๆก็จะเติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพ แต่หากเด็กๆ ถูกเลี้ยงดูมาจากครอบครัวที่มีการทะเลาะตบตี ใช้คำหยาบ ผู้ใหญ่ในบ้านเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เช่น ติดยาเสพติด เล่นการพนัน ดื่มเหล้าหนัก ลักขโมย แน่นอนเลยว่าเด็กส่วนมากที่โตมาในครอบครัวเช่นนี้ย่อมเติบโตมาเหมือนผู้ใหญ่ในบ้านที่เด็กๆเห็น และเป็นปัญหาให้แก่สังคมต่อไป การแก้ไขปัญหาความรุนแรง กรณีที่สาเหตุเกิดจากโรคทางจิตเวช หากพ่อ แม่ ผู้ปกครองสังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกติในตัวลูกๆหลานๆ เช่น ก้าวร้าวผิดปกติ จงใจยั่วโมโหบ่อยครั้ง ก่อความรุนแรงในบ้าน ควรรีบพาเด็กๆไปพบนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์เด็กโดยเร็ว เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิตเด็กได้วิเคราะห์ วินิจฉัย และให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วนกรณีที่สาเหตุเกิดจากการเลี้ยงดู สิ่งที่ต้องปรับอย่างเร่งด่วนเลยก็คือตัวของพ่อ แม่ ผู้ปกครองเอง โดยการลด ละ เลิกพฤติกรรมรุนแรงเหล่านั้น และชักชวน สนับสนุนให้เด็กๆ ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกัน ให้เวลาแก่เด็กๆ มากขึ้น และใส่ใจความ รู้สึกของเด็กๆให้มากขึ้น ความรุนแรงก็จะลดน้อยลงได้ ซึ่งวิธีลดความก้าวร้าว รุนแรงของเด็กๆ อาจเริ่มจากพาเด็กออกจากสถานการณ์โดยเร็วที่สุด เช่น หากเด็กทะเลาะกับเพื่อน และมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง พ่อ แม่ ผู้ปกครองต้องรีบกันเด็กออกจากเพื่อนโดยเร็วที่สุด และเมื่อเด็กออกจากสถานการณ์แล้ว พ่อ แม่ ควรทำความเข้าใจกับเพื่อน หรือผู้ปกครองของเพื่อนลูก แล้วจึงทำความเข้าใจกับลูกว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม นิ่ง สงบ สยบทุกความเคลื่อนไหว หากลูกโวยวายเสียงดัง พังข้าวของแล้วพ่อ แม่ ผู้ปกครองตอบโต้ด้วยวิธีรุนแรงเช่นเดียวกัน วงจรความก้าวร้าวก็จะไม่จบไม่สิ้น ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือนิ่ง สงบ และปล่อยให้เด็กหมดแรงไปเอง เมื่อเด็กอ่อนกำลังลงพ่อ แม่ ผู้ปกครองจึงค่อยๆเข้าไปทำความเข้าใจ และอธิบายให้เด็กฟังว่าเด็กต้องรับผิดชอบกับผลการกระทำของเขาอย่างไร เช่น เก็บกวาดบ้านในบริเวณที่เขาทำลายข้าวของไว้ หรือหักค่าขนมเพื่อนำมาซื้อของทดแทนสิ่งของที่เด็กทำพังกอด อาจดูเป็นวิธีธรรมดาๆ แต่จริงๆแล้วการกอดเป็นการทำให้สถานการณ์ทุกอย่างลดความรุนแรงลงได้ หากเด็กแสดงความก้าวร้าวในสถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะเป็นอันตรายต่อเด็กเองหรือต่อผู้อื่น แนะนำให้พ่อ แม่ กอดเด็กไว้ คงความอ่อนโยนโดยไม่ต้องพูดอะไร เมื่อเด็กสงบ เด็กจะบอกความรู้สึกกับเราเอง ทั้งนี้ พฤติกรรมความรุนแรง สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย วัยรุ่นอาจมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความอยากลองทำอะไรเสี่ยงๆ หรืออยากเป็นตัวของตัวเอง และมีการควบคุมหรือยับยั้งชั่งใจต่ำ หรือกลุ่มคนที่มีความกดดันทางจิตใจบางอย่าง มักสะท้อนออกมาว่า ณ เวลานั้นมีความกดดันเกิดขึ้น และอยากต่อสู้หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความอันตราย เหมือนเป็นการปกป้องตัวเองการลดพฤติกรรมความรุนแรงเริ่มได้ที่ตัวเราและครอบครัว ก่อนที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของสังคมที่ต้องร่วมกันแก้ไข.คลิกอ่านคอลัมน์ "สมาร์ทไลฟ์" เพิ่มเติม