วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ตรงกับวันวาเลนไทน์ ซึ่งปกติแล้วควรจะเป็นวันแห่งความสุข เพราะเป็นวันแห่งความรักที่ชาวตะวันตกเขาจะมอบดอกกุหลาบและช็อกโกแลตให้แก่กัน เพื่อแสดงความรักซึ่งกันและกันช่วงหลังๆระบาดไปทั่วโลกรวมทั้งไทยเราด้วยมีการมอบดอกกุหลาบในวันแห่งความรักกันอย่างคึกคักแต่สำหรับปีนี้ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร กลับกลายเป็น “วันแห่งความทุกข์” ไปอย่างไม่คาดฝัน เพราะกลายเป็นวันที่ “ฝุ่นพิษ” หรือ “ฝุ่นจิ๋ว” PM2.5 ขึ้นมาเป็น “สีส้ม” ผสมด้วย “สีแดง” ในทุกๆเขตของ กทม.เข้าขั้นอันตรายน้อยกับอันตรายมากทุกเขต ไม่มีเขตไหนปลอดภัย มีสีเหลือง หรือสีเขียวเลยในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเฉพาะ “สีแดง” ซึ่งเขาให้คำอธิบายว่า “มีผลต่อสุขภาพ” แล้วนั้นมีถึง 40 เขต จาก 80 กว่าเขตที่มีการวัดรอบๆ กทม. และปริมณฑล... ณ เวลาบ่าย 3 โมงที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้เมื่อตอน 8 โมงเช้า ผมเปิดดูแอปของกรมควบคุมมลพิษมาหนหนึ่งแล้ว ช่วงนั้นมี “สีแดง” ประมาณ 15 เขตใน กทม. แสดงว่ามาเพิ่มมากขึ้นในช่วงบ่ายๆนี่เอง ยิ่งสายยิ่งบ่ายก็ยิ่งพวยพุ่งขึ้นว่างั้นเถอะบ้านผมแถวๆบางกะปิตอน 8 โมงเช้ายังเป็น “สีส้ม” ซึ่งก็แย่แล้ว เพราะเริ่ม “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” แล้ว...พอบ่าย 3 โมงที่ว่ากลับกลายเป็น “สีแดง” เข้มข้นไปกับเขาด้วยเลยผมลองเปิดเว็บไซต์ www.iqair.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์แจ้งผลอากาศเสียระดับโลกควบคู่ไปด้วย ปรากฏว่าตอน 8 โมงเช้าเขาจัดให้ Bangkok หรือ กทม.แย่เป็นอันดับ 8 ของโลก สีแดงเถือกแปลว่าคนแก่ (อย่างผม) คนตั้งครรภ์ คนเป็นโรคประจำตัวหรือเด็กๆ และกลุ่มเสี่ยง ฯลฯ จะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เมื่อ PM2.5 อยู่ในระดับสีแดงที่ว่านี้ผมถึงได้บอกว่าแทนที่ 14 กุมภาพันธ์จะเป็นวันแห่งความรักของคน กทม.กลับกลายเป็นวันแห่งความทุกข์ไปด้วยประการฉะนี้ระหว่างที่ผมทุกข์หนักอยู่นั้นเอง ก็มีข่าวแว่วมาในสื่อออนไลน์ว่า ท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ท่านมีคำสั่งให้พนักงาน กทม.นั่งทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home กันแล้วเพราะฝุ่นพิษทำท่าจะหนักขึ้นอีกในวันที่ 15 กับ 16 กุมภาพันธ์ ท่านก็เลยสั่งล่วงหน้าว่า ไม่ต้องมาทำงานใน 2 วันที่ว่านี้ยกเว้นโรงเรียนของ กทม.จะเปิดสอนต่อไป เพราะโรงเรียนเป็นเขตปลอดฝุ่นหรือเซฟโซนอยู่แล้ว เพียงแต่ให้งดกิจกรรมกลางแจ้งไปก่อนเท่านั้นขณะเดียวกันก็มีข่าวด้วยว่า กทม.ได้ขอความร่วมมือไปยังภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 151 แห่ง มีผู้ปฏิบัติงาน 60,000 กว่าคน ให้ปฏิบัติในแนวทางเดียวกันในวันที่ 15 และ 16 กุมภาพันธ์สำหรับสาเหตุของ PM 2.5 ในวันนี้นั้นมีรายงานว่า เป็นเพราะ กทม.อยู่ท้ายๆลม และเป็นพื้นที่รับควันจากแหล่งต่างๆที่มีการเผาอย่างเต็มที่ ซึ่งจากข้อมูลที่มีอยู่พบว่า เป็นการเผาในประเทศไทยทั้งภาคกลางและอีสานรวม 3,241 จุด และในกัมพูชา 14,939 จุดเป็นอันสรุปว่า วิธีการแก้ไขหรือป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 ณ นาทีนี้ยังไม่มีทางอื่น นอกจากใช้วิธีตัวใครตัวมัน Work From Home หลบซ่อนอยู่ที่บ้านเท่านั้นเองส่วนที่มีข่าวว่าท่านนายกฯเศรษฐาท่านเจรจากับนายกฯ ฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา ว่าจะร่วมกันแก้ไขฝุ่นพิษ โดยเฉพาะในกัมพูชาซึ่งเผากันมากเหลือเกินนั้น คงต้องรอปีต่อไปกระมัง เพราะปีนี้เผาไปแล้วและกำลังเผาอยู่ จะหยุดยั้งอย่างไรก็คงไม่ทันแล้วผมเองเขียนต้นฉบับวันนี้ “ฟรอมโฮม” อยู่แล้ว ถือว่าปฏิบัติตามท่านผู้ว่าฯกทม.ล่วงหน้า แต่พรุ่งนี้จะเดินทางไปเชียงรายเพื่อไปดู “โขนกลางแปลง” ที่ สิงห์ปาร์ค ตามคำเชิญของ สิงห์ ก็คงต้องไปเขียนต้นฉบับมาจากที่โน่นก็ไม่ทราบว่าจะหนีเสือไปปะจระเข้หรือเปล่า เพราะดูจากแผนที่ของกรมควบคุมมลพิษเชียงรายก็อยู่ในเกณฑ์ “ส้ม” ผสม “แดง” ทั้งเมืองเช่นกันไม่รู้นะ หากจะใช้คำว่า “วิกฤติ” ละก็ ผมยังเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ แต่ที่วิกฤติแน่และยังไม่รู้จะแก้ยังไงก็เจ้า PM2.5 นี่แหละครับ––ใครช่วยเรียนท่านนายกฯด้วยเถอะครับ.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม