วันนี้ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน กลับมานั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เหมือนเดิมแล้ว หลังออกไปสวมบท “เซลส์แมนไทยแลนด์” เดินสายโรดโชว์ในเวทีประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ไปขายความพร้อมด้านการค้าการลงทุนของไทย ให้บรรดานักลงทุนญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเข้ามาลงทุนในไทยกันหลายสิบปีแล้ว บางรายก็เกินครึ่งศตวรรษไปแล้วการเดินสายของนายกฯเศรษฐา เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ให้กลุ่มผู้ลงทุนกว่า 500 ราย เข้ามาลงทุนในไทย แน่นอนว่าหนีไม่พ้นการชูอภิมหาโปรเจกต์เรือธงของรัฐบาลชุดนี้ คือ แลนด์บริดจ์ (Landbridge) ต่อด้วยการพบปะพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้ง นิสสัน, มิตซูบิชิ, ซูซูกิ, อีซูซุ, มาสด้า, ฮอนด้า และโตโยต้า หารือการขยายการลงทุน โดยเฉพาะภาครถยนต์อีวีที่เป็นกระแสโลกในขณะนี้ รวมไปถึงการเจรจากับผู้บริหาร บริษัท Mitsui & Co.,Ltd. บริษัท Trading รายใหญ่ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น ถึงโอกาสความร่วมมือทาง ธุรกิจด้านพลังงานสะอาด ตามเป้าหมายลดคาร์บอน Decarbonisation เชิญชวนให้ Mitsui เข้ามาเปิดสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคในไทยได้พบปะหารือกับ นายโนริฮิโกะ อิชิกุโระ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือเจโทร (Japan External Trade Organization : JETRO) หวังเพิ่มลู่ทางการลงทุนในไทยมากขึ้น และถือโอกาสจับเข่าคุยกับผู้บริหาร บริษัท Kubota บริษัทผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรอันดับ 1 ในญี่ปุ่น และอันดับ 3 ของโลก ที่นอกจากจะทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับอาหาร น้ำ และสิ่งแวดล้อม ยังมีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ปิโตรเลียมสำหรับใช้ในการเกษตรและอุตสาหกรรม ขอความร่วมมือนำเทคโนโลยีที่บริษัทคูโบต้ามีความเชี่ยวชาญมาเพิ่มผลผลิต เพิ่มศักยภาพการผลิต ลดการใช้แรงงานและค่าใช้จ่าย ฝันไปไกลว่าจะยกระดับรายได้พี่น้องเกษตรกรสูงถึง 3 เท่าก็อย่างที่นายกฯเศรษฐา เน้นย้ำในถ้อยแถลงถึงความเป็นหุ้นส่วนแบบใจถึงใจ “Heart-to-heart partnership” กับทางญี่ปุ่น สายสัมพันธ์ของ 2 ชาติหยั่งรากลึกกันมายาวนาน พร้อมตบท้ายว่ารัฐบาลไทยตระหนักถึงศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และ SoftPower ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไทยมีอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่กำลังเติบโต ทั้ง การออกแบบ แฟชั่น อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี ศิลปะการแสดง เกม และการสร้างเนื้อหาดิจิทัล ที่พร้อมจะร่วมมือกับญี่ปุ่นและอาเซียน เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมเวลาคุณเศรษฐาออกไปเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ ในเวทีเจรจาการค้าต่างๆ ดูเฉิดฉายเป็นธรรมชาติ ดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องฝืน ต้องเฝือเหมือนตอนอยู่ในประเทศ โดยเฉพาะปมประเด็นการเมืองที่มีหลากหลายปัญหา หลายเรื่องราวให้ต้องคอยแก้ไขมาถึงวันนี้ คุณเศรษฐาคงรู้ซึ้งแล้วว่า มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ด้วยปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ช่วงเวลากว่า 100 วันที่ขึ้นมาบริหารประเทศ ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย หลังจากจบการประชุม ครม. ในวันนี้คุณเศรษฐาก็ขอลาพักผ่อน 4 วัน ระหว่าง 19-22 ธ.ค. ให้เวลา กับครอบครัว ก่อนจะกลับมาลุยกันใหม่ เพราะนับจากนี้ยังมีวาระร้อนๆรอท่านอยู่ ไม่ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่จ่อจะเข้าสภาหลังปีใหม่ ถือเป็นศึกใหญ่ของรัฐบาล น้องๆวาระการอภิปรายไม่ไว้วางใจดูจากโจทย์ที่พรรคก้าวไกลตั้งไว้เป็นเครื่องหมายคำถามเอาไว้ไปรอชำแหละกันในสภาแล้ว นี่ถือเป็นด่านแรกที่จะวัดศักยภาพว่าคุณเศรษฐาจะดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้นำไปได้อีกแค่ไหน และอีก วาระร้อนที่จะตามมา คือ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่นอกจากพรรคก้าวไกลแล้ว ยังมีภาคประชาสังคมที่จับจ้องตาไม่กะพริบเช่นกัน รัฐบาลต้องโดนทั้งศึกในศึกนอก ซึ่งจะเป็นด่านสำคัญชี้ชะตาได้เลยว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป นี่ยังไม่รวมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อีกนะ...เพลิงสุริยะคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม