ความเห็นของผู้ว่าการแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ถึงภาพรวม เศรษฐกิจในปี 2567 โดยมีการประเมิน การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อยู่ที่ร้อยละ 3.2 อัตราเงินเฟ้อ อยู่ในกรอบร้อยละ 1-3 การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นตัวช้า เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในช่วง การระบาดของโควิด–19 จนถึงปัจจุบัน มีการฟื้นตัวดีขึ้น เมื่อดู ตัวเลขอุปสงค์ ในการบริโภคของภาคเอกชนและการส่งออกสูงกว่าในช่วงโควิด-19 ประมาณร้อยละ 15 เช่นเดียวกับการส่งออกที่มีแนวโน้มดีขึ้นขณะที่ อุปทาน ภาคบริการกลับมาฟื้นตัวเช่นกัน แต่ ภาคการผลิต การท่องเที่ยว ยังไม่กลับมาดีเท่ากับก่อนการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความเป็นห่วงในการดำรงชีวิต ตัวเลขผู้ว่างงาน อยู่ที่ร้อยละ 2 ที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ กลุ่มที่มีงานทำแต่รายได้ น้อยกว่าเดิม งานน้อยกว่าเดิม ก่อนการระบาดของโควิด–19 ตัวเลขคนว่างงานอยู่ที่ 2 ล้านคน ปัจจุบันตัวเลขคนว่างงานเพิ่มเป็น 3 ล้านคน ช่วงการระบาดของโควิด-19 ตัวเลขคนตกงานอยู่ที่ 6 ล้านคน นั่นหมายถึง แรงงานกลับเข้าระบบ ได้เพียงครึ่งเดียวหลังจากการระบาดของโควิด-19ประเทศไทย พึ่งพารายได้จาก การท่องเที่ยวและการส่งออก เป็นหลัก ทำให้มีผลกระทบกับการดำรงชีพของประชาชน กลายเป็นภาพลักษณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ไม่ดีขึ้น ที่มีปัจจัยลบมาจากทั้งต่างประเทศและในประเทศ เมื่อรายได้น้อยลง รายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินสะสมหมดไป หนี้สินเพิ่มขึ้นแน่นอนนักท่องเที่ยวจากกว่า 40 ล้านคน เหลือประมาณ 29-30 ล้านคน ในช่วงปี 2563-2564 นักท่องเที่ยวเหลือเพียง 4.3 แสนคน ธุรกิจที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวและบริการ พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ สอดคล้องกับตัวเลขหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 95 ของจีดีพี แม้ขณะนี้เหลืออยู่ที่ร้อยละ 90 ต่อจีดีพี แต่ก็เป็นสัดส่วนที่สูงกว่ามาตรฐานสากลอยู่ดีในภาคการเงินการคลัง จึงต้องมีการควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม ควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่รับได้ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบกับการลงทุน และจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้มากขึ้นที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติแสดงความเห็นเอาไว้น่าสนใจคือ โจทย์ใหม่ทางเศรษฐกิจ นั่นหมายถึง การเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจไทย การรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ที่จะต้องมีความทนทานและยืดหยุ่น (resilience) มากกว่าเสถียรภาพ (stability) คือต้องสามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้เร็วภายใต้การเติบโตในรูปแบบใหม่ๆ แตกต่างจากการเติบโตแบบเดิมที่มีการกระจายรายได้ใน 3 ทิศทาง คือ ภาษีภาครัฐ รายได้จ้างงาน และกำไร ซึ่งมีการกระจุกตัวและไม่ได้สร้างโอกาสใหม่ๆขึ้นมา ยังเป็นการเติบโต แบบรวยกระจุก ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นแบบเดิมๆอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่สร้างโอกาสในการแข่งขันสำหรับธุรกิจใหม่ๆหรือบริษัทใหม่ๆ เมื่อดูตัวเลขจากสภาพัฒน์มาประกอบด้วยแล้ว เรากำลังเผชิญกับ Balance sheet หรือ วิกฤติงบดุล หนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด หนี้สาธารณะภาครัฐปรับขึ้นจากร้อยละ 41 เป็นร้อยละ 62 หนี้บริษัทขนาดใหญ่จากร้อยละ 70 เป็นร้อยละ 79 หนี้ครัวเรือนเคยสูงสุดที่ร้อยละ 70 มาอยู่ที่ร้อยละ 90สรุปว่า เศรษฐกิจของไทยไม่ได้เติบโตช้าเท่านั้น แต่อยู่ในสภาวะความเปราะบาง โดยเฉพาะคนชั้นกลางและคนชั้นล่าง ที่จะได้รับผลกระทบจากบนลงล่างและล่างขึ้นบนไปพร้อมๆกัน ปลายปีนี้ต้นปีหน้า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม