เมื่อพูดถึง “นิ่ว” หลายคนจะนึกถึงนิ่วในถุงน้ำดี แต่ยังมีโรคนิ่วอีกชนิดที่ถูกมองข้าม แต่มีอันตรายมากกว่า นั่นก็คือ “นิ่วในไต” หรือ Kidney stoneแม้จะชื่อว่านิ่วในไต แต่จริงๆแล้ว Kidney Stone เป็นนิ่วที่พบในระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะช่วงอายุ 20-49 ปีที่น่าเป็นห่วงคือนิ่วในไต เป็นโรคนิ่วที่มีความสัมพันธ์ต่อการเพิ่มความเสี่ยงของโรคไตเสื่อม (chronic kidney disease), ไตวาย (end-stage renal failure), โรคหัวใจ (cardiovascular disease), เบาหวาน (diabetes) และโรคความดันโลหิตสูง (hyper tension) และพบอัตราการกลับมาเป็นซ้ำของโรคนิ่วชนิดนี้ค่อนข้างสูง จากการศึกษาพบว่าคนส่วนใหญ่จะเกิดนิ่วซ้ำที่ 50% ใน 5-10 ปี และ 75% ในรอบ 20 ปี ทำให้เราต้องตระหนักเสมอว่า แม้จะรักษานิ่วในไตให้หายดีแล้ว แต่ก็ไม่ควรละเลย ควร ป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำด้วยเช่นกันนิ่วในไตมีหลายชนิดที่พบมากที่สุด คือ Calcium stones พบที่ประมาณ 80% ของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหมดStruvite or Magnesium ammo nium phosphate stones พบประมาณ 10-15% ของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไตชนิดนี้มักพบว่ามีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง โดยมีสัดส่วนการพบในเพศหญิงสูงกว่าเพศชายUric acid stones or Urate เป็นนิ่วที่พบได้ประมาณ 3-10% ของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ มักพบได้ในคนที่รับประทานอาหารที่มีสารพิวรีน (Purines) สูง โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อสัตว์, ดื่มน้ำน้อย และมีความเป็นกรดในน้ำปัสสาวะสูง Cystine stones พบได้น้อยกว่า 2% ของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม (genetic disorder) ทำให้ร่างกายขับสาร cystine ออกมามากในน้ำปัสสาวะ และสุดท้ายคือ Drug-induced stones พบประมาณ 1% ของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยยาที่มักสัมพันธ์ต่อการเกิดนิ่ว ได้แก่ guaifenesin, triamterene, atazanavir และยาในกลุ่มซัลฟาอาการของนิ่วในไต แน่นอนคืออาการปวดที่จะเรียกว่าปวดท้องก็ไม่ใช่ แต่เป็นอาการปวดบริเวณสีข้าง ร้าวไปด้านหลัง มักปวดทันทีทันใด ในผู้ชายอาจมีอาการปวดร้าวมายังถุงอัณฑะ ส่วนผู้หญิงพบอาการปวดร้าวบริเวณอุ้งเชิงกรานนอกจากอาการปวดแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน มีปัสสาวะขัด อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีไข้ ในกรณีมีการติดเชื้อร่วมด้วย หรือก้อนนิ่วมีการอุดขวางทางเดินปัสสาวะ การรักษานิ่วในไตมีหลายวิธี แพทย์จะเป็นผู้เลือกแนวทางการรักษา โดยพิจารณาจากขนาดของนิ่ว ต่ำแหน่ง จำนวนของนิ่ว ความแข็งของนิ่ว ลักษณะของรูปร่างไต และสภาพความพร้อมของผู้ป่วยเป็นสำคัญการรักษาหลักๆมี 4 วิธี เริ่มจาก การสลายนิ่ว เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะกับนิ่วในไตขนาดไม่ใหญ่มากนัก และนิ่วมีความแข็งไม่มาก โดยมักมีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก และนิ่วที่อยู่ด้านล่างของไต (lower pole stones) ที่อาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควรการผ่าตัดรักษานิ่วในไตผ่านรูที่ผิวหนัง (Percutaneous nephrolithotomy: PCNL) เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะกับก้อนนิ่วขนาดกลางถึงใหญ่ การรักษาโดยวิธีนี้ ต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญและเครื่องมือเฉพาะสำหรับการกรอนิ่วผ่านทางรูที่ผิวหนัง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเสียเลือดมาก อีกวิธีหนึ่งคือ การผ่าตัดรักษานิ่วในไตโดยวิธีส่องกล้องผ่านทางท่อไต (Retrograde intrarenal surgery:RIRS) เป็นเทคนิคใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะสามารถรักษานิ่วในไตขนาดเล็กถึงกลางได้ดี โดยที่ผู้ป่วยไม่มีบาดแผล เสี่ยงต่อการเสียเลือดน้อย ใช้เวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดไม่นาน สุดท้าย การผ่าตัดเปิดเพื่อรักษานิ่ว วิธีนี้ได้รับความนิยมน้อยลงมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้องที่หลายโรงพยาบาลทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว การผ่าตัดเปิด นอกจากจะทำให้มีบาดแผลขนาดใหญ่ เสี่ยงต่อการเสียเลือดมากแล้ว ยังทำให้คนไข้มีอาการบาดเจ็บมาก รักษาตัวนานและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายการป้องกันนิ่วในไตทำได้ไม่ยาก เริ่มจาก ดื่มน้ำให้มากเพื่อลดโอกาสการตกตะกอนของก้อนนิ่ว กินแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติให้เพียงพอ เลี่ยงอาหารรสเค็ม หรือลดเกลือในมื้ออาหาร ควบคุมการกินเนื้อสัตว์ นม เนย และกินผักให้เยอะจะช่วยลดโอกาสเกิดนิ่วได้แน่นอน.คลิกอ่านคอลัมน์ "สมาร์ทไลฟ์" เพิ่มเติม