วันนี้ตลาดหุ้นไทยเปิดตามปกติหลังวันหยุดยาว วันศุกร์ที่แล้ว 20 ตุลาคม ตลาดหุ้นไทยร่วงหนักจนดัชนีหลุด 1,400 จุด ไปปิดที่ 1,399.35 จุด ร่วงลงไป 23.69 จุด–1.66% มีมูลค่าซื้อขายกว่า 52,900 ล้านบาท โดยดัชนีลงไปจุดต่ำสุด 1,397.80 จุด ติดลบ 25.24 จุด ก่อนขึ้นมาปิดที่ 1,399.35 จุด ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่ 30 ตุลาคม 2563 ดัชนีร่วงลงไปอยู่ที่ 1,194.95 จุด สัปดาห์นี้ หลายฝ่ายคาดว่าดัชนีหุ้นไทยยังแกว่ง ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อ สงครามอิสราเอล–ฮามาส ที่มี สหรัฐฯ และ อิหร่าน หนุนหลังจะบานปลายขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯก็ร่อแร่ เมื่อ บอนด์ยีลด์ 30 ปี พุ่งขึ้นไปสูงถึง 5.1% จากระดับ 1.5% ในปี 2564 สินเชื่อบ้าน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยก็พุ่งขึ้นไปสูงถึง 8% เป็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบสิบปี ส่งผลให้ราคาบ้านในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปกว่า 40% ก่อนโควิด ทำนาย ได้เลยว่า คนอเมริกันจะทิ้งบ้านไปเป็นคนไร้บ้านอีกมากมาย เพราะผ่อนต่อไม่ไหว และจะมี “บ้านร้าง” เกิดขึ้นมากมายทั่วสหรัฐฯ เช่นเดียวกับจีนในเวลานี้หุ้นไทยที่ร่วงไปกว่า 23 จุด เมื่อวันศุกร์ที่แล้วมีตัวเลขระบุว่า มี “นักลงทุนต่างชาติ” เทขายไปกว่า 1,215 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมถึงวันที่ 20 ตุลาคม นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว กว่า 10,000 ล้านบาท ถ้านับย้อนหลังไปตั้งแต่ต้นปีจนถึง 20 ตุลาคม นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 167,000 ล้านบาทผมไม่เชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไปแค่พันกว่าล้านบาท จะเป็นต้นเหตุให้ดัชนีราคาหุ้นร่วงลงไปกว่า 23 จุด วันนี้ผมจะพาท่านนักลงทุนไปหาคำตอบกันครับเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้เอง คุณสุมิตรา ตั้งสมวรพงษ์ ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แถลงว่า จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย 795 บริษัท โดยใช้ข้อมูลล่าสุดถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ซึ่งมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดมีมูลค่ารวมกว่า 19.26 ล้านล้านบาท คิดเป็น 99.40% ของมูลค่าหลักทรัพย์ทั้งตลาด พบว่า นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยมูลค่ารวมกว่า 5.87 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 760,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.95% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 30.50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดแสดงว่า ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และถือครองไว้ในมือเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ขายออกเลย สวนทางกับกระแสข่าวที่ออกมาโดยสิ้นเชิงผมได้ ตรวจสอบข้อมูลทางลึกอีกทาง ก็พบว่า หุ้นบลูชิพ (Blue Chip Stock) ซึ่งเป็นหุ้นที่ นักลงทุนต่างชาติลงทุนถือครองในระยะยาว เพื่อรับเงินปันผล เพราะมีกำไรดีและให้เงินปันผลดี ก็ปรากฏว่า สัดส่วนการถือหุ้นบลูชิพของนักลงทุนต่างชาติ ก็ยังถือเต็มเพดาน ไม่มีการขายออกหรือลดลง แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นบลูชิพเหล่านี้ เมื่อมีการซื้อขายรายวันในปริมาณมหาศาลหลายร้อยล้านหลายพันล้านบาท วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม หุ้นบลูชิพก็ถูกเทขายกระหน่ำ จากข้อมูล ของตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า มีการขายชอร์ต หรือ Short Sell หุ้นบลูชิพและหุ้นทั่วไปสูงถึง 410 รายการเห็นข้อมูลแล้วก็ถึงบางอ้อ ตัวการถล่มหุ้นไทยก็คือ การ Short Sell ของนักลงทุนรายใหญ่นั่นเอง มีทั้ง นักลงทุนไทย และ นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถือหุ้นบลูชิพไว้เต็มเพดาน แต่ไป “ยืมหุ้น” มา “ขายชอร์ต” เพื่อเอากำไร ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อ “นักลงทุนรายย่อยไทย” ทำให้ขาดทุนหายนะจนหมดเนื้อหมดตัว จนไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยผมเรียกร้องมาตลอดว่า ขอให้ ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง แก้ไขกฎหมายยกเลิก Short Sell เพื่อ ส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยเป็นแหล่งลงทุนเพิ่มความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนรายย่อยของไทย แต่รัฐบาลที่ผ่านมาก็เฉย วันนี้มีหลักฐานชัดเจน ชอร์ตเซลเป็นตัวถล่มตลาดหุ้นไทย จนย่อยยับ ผมก็หวังว่า นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะ รัฐมนตรีคลัง ซึ่งรู้เรื่องตลาดหุ้นดีมาก จะเร่งแก้ไขกฎหมายยกเลิก Short Sell โดยเร็ว อย่าปล่อยให้ นักลงทุนรายย่อยหลายล้านคน ตกเป็นเหยื่อของนักลงทุนรายใหญ่แค่หมื่นกว่าคน อีกต่อไปเลยครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม