ในกระแสเมืองศรีเทพกำลังแรง ผมถูกสั่งให้ซื้อตั๋วทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ไปหาความรู้มารายงาน แต่เมื่อถูกเพื่อนชวน...ผมพยายามหาเหตุปฏิเสธ แต่ก็ขัดใจที่นึกไม่ออกเพิ่งนึกได้...เคยเขียนไปแล้วก็หลายเรื่อง เมืองเพชรบูรณ์นั้น เคยเป็นเมืองต้องห้าม...สมัยญี่ปุ่นบุกไทย...จอมพล ป.เตรียมเพชรบูรณ์ไว้เป็นเมืองที่มั่นสู้กับญี่ปุ่น ความที่ร่ำลือกันว่า เพชรบูรณ์เป็นเมืองที่มีไข้ชุกคนที่ถูกเกณฑ์ต้องเตรียมหม้อ เผื่อใส่กระดูกกลับบ้าน ความกลัวเดียวกันปลูกฝังสั่งสม ย้อนไปสมัย ร.5เรื่องที่ 15 ใน “นิทานมิบ” (สถาพรบุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2557) เอนก นาวิกมูล เริ่มต้นเรื่อง ชักคนไปเมืองเพชรบูรณ์ ว่า สมัยก่อนพอใครได้ยินว่า จะต้องไปเมืองเพชรบูรณ์ เป็นต้องรู้สึกครั่นคร้ามสมัย ร.5 ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ว่าง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเที่ยวสืบเสาะหาคนไปปกครองอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่เป็นที่พอพระทัยผลที่สุดได้นายเฟื่อง บรรดาศักดิ์ พระสงครามภักดี มีประวัติเคยอาสาไปทัพผ่านไข้มาโชกโชน ลองคุยดูเห็นเป็นคนมีสติปัญญาก็ไว้วางใจ แต่งตั้งไปเป็นผู้ว่าฯเมื่อปี พ.ศ.2442ภายหลังทำงานดี ได้เลื่อนเป็นถึงสมุหเทศาภิบาลมณฑลเพชรบูรณ์พระสงครามภักดี เคยปรารภกับสมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯว่า การปกครองเมืองเพชรบูรณ์นั้นไม่สู้ยากนัก ราษฎรชอบทำมาหากิน ไม่ใคร่มีโจรผู้ร้าย ลำบากแต่ยังหาคนใช้การได้ไม่เพียงพอเพราะคนพื้นเมืองยังอ่อนการศึกษา คนจากที่อื่นก็ไม่ค่อยมีใครกล้าไปอยู่สมเด็จฯกรมดำรงฯ ทรงฟังแล้วรับสั่งว่า คิดจะหาอุบายระงับความกลัวนี้ โดย “ตัวฉันเองจะต้องขึ้นไปให้ถึงเมืองเพชรบูรณ์เอง เป็นตัวอย่าง” ทรงเชื่อว่า แม้คนยังกลัว แต่ก็อาจช่วยให้ชักชวนได้ง่ายขึ้นพระสงครามภักดีก็ดีใจ กราบทูลวิธีเดินทางต่างๆ แล้วไปเตรียมการรอไว้แต่น่าเสียดาย ระหว่างเวลา 2 ปี ที่ยังไม่ได้ไป พระสงครามภักดี ก็ถึงแก่อนิจกรรม แต่ไม่ได้เป็นไข้ป่าที่เพชรบูรณ์ ทว่ากลับมาแพ้ไข้อหิวาตกโรคเมื่อลงมาเฝ้าฯในกรุงเทพฯครั้นเมื่อสมเด็จฯได้เสด็จออกไปเพชรบูรณ์ ทรงข้ามป่า ข้ามเขา ลงเรือ เดินบกผ่านเมืองต่างๆ ทรงปลอบใจชาวบ้านลูกหาบให้มีความกล้าไม่กลัวไข้ รวมเวลาราชการ 36 วัน ไม่มีใครเป็นไข้ได้ป่วยเลยกลับถึงกรุงเทพฯ ในพระราชพิธีเสด็จออกพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาแสดงความยินดีชมเชย ทรงพระกรุณาพระราชทานจับพระหัตถ์ เป็นเกียรติยศต่อหน้าคนทั้งปวงไถ่ถามเรื่องเจ็บไข้ ก็กราบบังคมทูลว่า “ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ หามีใครเจ็บไข้ไม่”ตั้งแต่นั้นมา สมเด็จฯกรมดำรงฯ ก็หาคนรับราชการไปมณฑลเพชรบูรณ์ได้ไม่ยากเย็นเหมือนก่อน ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายก็ข้ามไปทำมาหากินที่เขตเพชรบูรณ์ทวีขึ้นสมประสงค์ต่อมาเมื่อถึงสมัยพระโอรส หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงเป็นคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ปี พ.ศ.2510 ทรงนำนักศึกษาไปถึงเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนที่ยังเป็นป่ารกเรื้อ หลายครั้งครั้งหนึ่งเรื่องนี้ผมฟังจากรายการ ทอดน่องท่องเที่ยว มติชน ขณะทรงสนพระทัยอยู่ทางหนึ่ง อีกทาง นักศึกษาหนุ่ม ชื่อขรรค์ชัย ก็ไปคุยกับพระ ท่านมีเศียรเทวรูปองค์เขื่อง น้ำหนักราว 8 กก.คุณชายสุภัทรดิศ ทรงเห็นว่า เป็นเศียรเทวรูปศิลปะศรีเทพ สมัยที่คนรักของเก่าเรียก รุ่นหมวกแขก อายุราว 1,200 ปีขึ้นไป พระถวายให้ “เจ้านาย” คุณชายถวายเงินพระ 100 บาทแล้วก็เป็นภาระ ให้นักศึกษา สุจิตต์ ขรรค์ชัย และเพื่อน ผลัดกันใส่ย่ามสะพายมาขึ้นรถเศียรเทวรูปนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร จนคนกรมศิลป์มาเจอ ขอไปต่อกับ “องค์” ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร...วันนี้ ใครที่อยู่ในกรุงเทพฯ ไปดูได้ใกล้ๆ ไม่ต้องเหนื่อยไปถึงศรีเทพ.(ภาพจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม