เด็กชายวัยรุ่น รุ่นหลังสงคราม โตมากับหนังขายยา หนังกลางแปลงครับ ลิเก ละคร นั้น หน้าโรงมักเป็นน้า ป้า ย่า ยายและสาวๆ เด็กหนุ่มส่วนใหญ่ก็แค่ยืนดูชั่วครู่ แล้วก็ผ่านสี่ห้าปีที่อยู่วัดหลวงพ่อบ้านแหลม แม่กลอง...ผมคุ้นๆทั้งเสียงระนาดเสียงกลอง ท่ารำท่าร้องของละครแก้บนประโยคฝังใจ...บทหญิงด่ากัน ขึ้นต้นด้วยคำว่า “แม่เอ๊ยๆ” แล้วก็ยิ้มให้ทุกครั้ง เมื่อจะเปลี่ยนบทเล่น ตัวนางเอกก็แค่ทรุดนั่ง ถอดชฎาออก แล้วยกมือไหว้ หยิบเอาชฎานางร้ายมาเล่นต่อแถวแนวที่มีไม้สวมชฎา...ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีหัวตัวฤาษี ที่เรียก “พ่อครู” อยู่หรือเปล่า?หัวฤาษี แม้ไม่มีบทให้เล่น...แต่คณะละครเขาสวมไว้บนไม้...ดูเหมือนจะสูงกว่าหัวชฎาอื่นๆผมอ่านจากเรื่องสั้นเรื่องสุดท้าย มนัส จรรยงค์ เขียนไว้ใน “ชาวกรุง” ยุคที่ปกเป็นภาพรามเกียรติ์ (ราว 2500-2510) ทุกครั้งที่ทุกตัวละครจะถึงบทเล่น ก็จะหันไปยกมือไหว้หัวฤาษีหัวฤาษีในเรื่องสั้นเรื่องพ่อครู...เป็นของสูงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรง โต้โผคนลูกรับเป็นมรดกตกทอดมาจากโต้โผพ่อ...พ่อสั่งสอนว่านับถือท่านไว้ ทุกข์ร้อนอะไรก็บอกท่านแล้วก็ถึงวันนั้น...คณะละครไม่มีงานว่าจ้าง...อับจนถึงขั้นต้องยุบคณะ...โต้โผฮึดฮัด...ระบายความคับแค้น...คว้าหัวพ่อครู...ขว้างไปสุดแรงเกิดเรื่องสั้นเรื่องนี้จบลง ตรงหัวฤาษี แสดงปาฏิหาริย์...เมื่อหัวพ่อครูปะทะฝาบ้าน แตกกระจาย...แหวนเพชร สร้อยทอง ...ที่โต้โผพ่อซุกซ่อนไว้นาน...ก็หลุดออกมาหัวพ่อครูเป็นของสูง เป็นศูนย์ศรัทธาในคณะละคร...ผมเพิ่งรู้ว่า ในคณะโนราของชาวใต้...เขามีของสูงเป็นสัญลักษณ์ คือพระขรรค์ในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ.2529 เล่ม 6 อาจารย์สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เริ่มต้นว่าโนราสมัยก่อนทุกคณะจะต้องมีพระขรรค์เป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งทั้งนี้เมื่อต้องรำโนราบูชาครูเพื่อแก้บน หรือทำพิธีครอบมือให้แก่ศิษย์ พิธีกรรมนี้จะสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อได้แสดงบทสิบสองการแสดงบทสิบสอง คือการเอาเรื่องจากวรรณกรรม 12 เรื่อง เรื่องนางมโนห์รา พระรถเมรี ลักษณวงษ์ โคบุตร ดาราวงศ์ พระอภัยมณี สังข์ทอง จันทโครพ สินนุราช สังข์ศิลป์ชัย นางยมกลิ่น และเรื่องนายไกรทองกับชาละวันใช้ผู้แสดงสองคน มาทำบทรำต่อหน้าศาลโรงครู ตัดตอนมาสั้นๆพอเป็นพิธีต่อเนื่องกันไปผู้แสดงสองคนที่เลือกมา มักเป็นนายโรง และตัวพราน (ตัวตลก) สมมติตัวเป็นตัวสำคัญของวรรณกรรมตอนนั้นๆ สับเปลี่ยนไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวตัวนายโรงอาจสมมติเป็นตัวพระในบางเรื่อง บางเรื่องก็เป็นตัวนางเมื่อใดสมมติเป็นกษัตริย์ใน เพียงแต่นำพระขรรค์มาถือไว้ ก็เป็นที่เข้าใจกันว่ากำลังแสดงบทกษัตริย์พระขรรค์เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ จึงถือกันว่าพระขรรค์เป็นวัตถุมงคลของคณะโนราคณะนั้นๆไปด้วยผมหลับตานึกภาพ...เวลาแสดงบทกษัตริย์ นักแสดงหยิบพระขรรค์มาถือ ก็คงแว้บเดียว เมื่อวางพระขรรค์ บทกษัตริย์ก็จบทุกเรื่องในโลกนี้ ไม่เว้นกระทั่งเรื่องการเมือง...เป็นแค่การแสดง เป็นเรื่องสมมติประเดี๋ยวประด๋าว อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องจริงจังนักหนา มาได้ก็ไปได้ เพียงแต่ว่าตอนไปจะไปแบบดีๆ หรือไปแบบถูกโห่ไล่ให้ไป.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม