การเลือกนายกรัฐมนตรี กลายเป็นเกมการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน ผิดความคาดหมาย ทั้งที่ 8 พรรครวบรวม ส.ส.เสียงข้างมากได้ถึง 312 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ได้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส.มากที่สุด เป็นผู้ท้าชิงนายกรัฐมนตรี แต่ต้องตกไปในยกแรกแม้แต่ในยกที่ 2 ในวันที่ 19 กรกฎาคมคือวันนี้ ก็ไม่มั่นใจว่านายพิธาจะเป็นผู้ชนะ นายพิธาจึงสัญญาว่าถ้าตนสอบตกยกที่ 2 จะเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ แม้ผลการสำรวจของนิด้าโพล พบว่าคนส่วนใหญ่เรียกร้องให้โหวตไปเรื่อยๆจนกว่านายพิธาจะชนะ แต่ความเป็นจริงไม่อนุญาตให้ทำได้ประธานหอการค้าไทยแสดงความเห็นว่า ความมั่นใจในด้านเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นทันที ถ้าพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ 7 พรรคได้ เพราะพรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์บริหารประเทศ และประสบความสำเร็จในการนำหลายนโยบายมาใช้ เพราะเป็นพรรคที่มีบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถในด้านเศรษฐกิจถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำ ในการจัดตั้งรัฐบาล และมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเตรียมพร้อมอยู่ถึง 3 คน แต่ไม่ได้หมายความว่าไร้ปัญหา เพราะ ส.ว.บางคน ซึ่งยึดประเทศเป็นตัวประกัน ประกาศว่าถ้ายังมีพรรค ก.ก.ร่วมด้วย ส.ว.จะไม่โหวตให้ พรรคการเมืองหลายพรรคก็ประกาศเป็นเสียงเดียวกันถ้าพรรคก้าวไกลถูกกีดกันไม่ให้ร่วมรัฐบาล หรือถูกบีบบังคับให้เป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยจะต้องดึงพรรคอื่นเข้าร่วม เช่น พรรคภูมิใจไทยที่มี 71 เสียง รวมเป็น 232 เสียง ยังขาดอีก 143 จึงจะเป็น 375 เสียง ที่เลือกนายกฯได้ แม้จะดึงพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคชาติไทยพัฒนามาร่วมก็ยังไม่พอเพราะทั้งสองพรรคมี ส.ส.รวมกันแค่ 35 คน รวมแล้วก็ยังไม่ถึง 375เสียง หรือแม้จะถึง 2 พรรคลุง คือพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จะได้มาอีกแค่ 76 เสียง ยังไม่พออยู่ดี จึงต้องดึง ส.ว.มาร่วมด้วยหรือมิฉะนั้นก็ปล่อยให้พรรค 2 ลุง จับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเก่ารวมเป็น 188 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมี ส.ว.เป็นแกนนำรัฐบาล แต่เป็นรัฐบาลที่เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร สามารถล้มได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ไม่ว่าจะด้วยการคว่ำร่างกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย หรือถ้าจะให้สะใจประชาชนมากที่สุด ต้องให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี.