พฤศจิกายน ค.ศ.1961 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี อนุมัติให้มีการใช้ฝนเหลืองซึ่งเป็นสารพิษในเวียดนาม โดยให้เครื่องบิน C123 พร้อมอุปกรณ์ติดตั้งพิเศษบินไปโปรยสารเคมีในแผ่นดินเวียดนามตามยุทธการซอนนุต การโปรยสารพิษลงไปในแผ่นดินเวียดนามทำติดต่อกันอยู่นานถึง 9 ปี ใช้สารเคมีกว่า 12 ล้านแกลลอน โปรยลงในพื้นที่กว่า 5.5 ล้านเอเคอร์ หรือประมาณ 15 ล้านล้านไร่ นอกจากเวียดนามแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯยังสั่งให้มีการโปรยฝนเหลืองในลาวและกัมพูชาในบางพื้นที่ด้วยฝนเหลืองเป็นสารพิษที่พัฒนามาจากยาฆ่าวัชพืช ที่เรียกว่าฝนเหลืองเพราะถังแกลลอนที่บรรจุสารพิษนี้มีสีเหลือง ป่าเขานับล้านไร่ในเวียดนาม ลาวและกัมพูชาแปลงสภาพเป็นเขาหัวโล้น สารเคมีที่สหรัฐฯโปรยลงไปในแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่เป็นอันตรายแค่พืชอย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์และสัตว์ที่โดนสารนี้เข้าไปก็จะกลายเป็นมะเร็งด้วย ใครตั้งครรภ์ก็จะแท้งง่าย ฝนเหลืองต้องใช้เวลามากกว่า 100 ปีถึงจะจางหายไปจากผืนดิน หลังสงคราม รัฐบาลสหรัฐฯมีเอกสารลับที่ใช้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้นำผลผลิตทางการเกษตรหรือนำเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในบริเวณที่ตัวเองเคยโปรยสารพิษไว้เข้ามาในแผ่นดินสหรัฐฯ เพราะจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคสหรัฐฯนอกจากฝนเหลืองแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯยังสั่งให้ทิ้งระเบิดทำลายล้างภายใต้ยุทธการเฟลมมิ่ง ดาร์ท 1 (ลูกดอกเพลิง 1) ตามด้วยเฟลมมิ่ง ดาร์ท 2 (ลูกดอกเพลิง 2) และยุทธการโรลลิ่ง ธันเดอร์ ฝ่ายเวียดนามเหนือมีแต่เครื่องบินขับไล่มิก-17 ที่เก่าและล้าสมัย ใช้บินต่อสู้กับเครื่องบิน F-105 ของฝ่ายสหรัฐฯที่บินเกาะหมู่กัน 4 ลำและมีเครื่องบินขับไล่ F-100 ทำหน้าที่บินคุ้มกัน แม้ว่าจะทันสมัยขนาดไหน แต่ก็โดนเครื่องบินล้าสมัยของโซเวียตแบบมิก-17 ที่ขับโดยนักบินเวียดกงยิงจนเครื่องบินสหรัฐฯตกอยู่เป็นประจำ ไม่มีโอกาสได้กลับฐานบินที่ตาคลี จ.นครสวรรค์รัฐบาลสหรัฐฯยังสั่งให้ฝูงบิน B-52 ทะยานจากสนามบินอู่ตะเภาของไทยไปทิ้งระเบิดในดินแดนกัมพูชา ภายในเวลา 14 เดือน เครื่องบิน B-52 บินจากอู่ตะเภาขึ้นไปทิ้งระเบิดแบบปูพรมลงในแผ่นดินเขมรมากถึง 3,636 ครั้งสงครามเวียดนามเริ่มเมื่อ 1 พฤศจิกายน 1955 จบเมื่อ 30 เมษายน 1975 รบกันเป็นเวลานานถึง 19 ปี 6 เดือน แม้ว่าสงครามจะจบลงไปแล้ว 48 ปี แต่ก็ยังมีระเบิดเหลืออยู่ในแผ่นดินกัมพูชาและลาวที่ยังเก็บกู้ไม่หมด ทำให้ประชาชนคนท้องถิ่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวกัมพูชาตามชายแดน) บังเอิญไปเหยียบระเบิดขาขาด กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังมีระเบิดหลงเหลืออยู่มากที่สุดในโลก และมีชาวกัมพูชามากกว่า 2 หมื่นคนที่ตายจากระเบิดเหล่านี้ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีประชาชนคนกัมพูชาขาขาดหรือเสียชีวิตจากระเบิดที่สหรัฐฯมาหย่อนทิ้งไว้ในอดีตจันทร์ 10 กรกฎาคม 2023 เอ็นจีโอหลายกลุ่มในกัมพูชาประณามการตัดสินใจของประธานาธิบดีไบเดน ที่จะให้คลัสเตอร์บอมบ์แก่อูเครน เพื่อนำไปสู้กับรัสเซีย ระเบิดเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับที่สหรัฐฯเคยใช้ในอินโดจีนมาก่อน บางครั้งอาจจะไม่มีการระเบิดอย่างฉับพลันทันที แต่ต่อไปในอนาคตประชาชนคนที่บังเอิญไปเจอ ก็อาจจะพิการหรือตายสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาทวีตว่า คลัสเตอร์บอมบ์ซึ่งสหรัฐฯอนุมัติให้อูเครนใช้กับรัสเซียในครั้งนี้ จะเป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับชาวอูเครนไปอีกนานหลายปี หรืออาจจะนานหลายร้อยปี หากมีทหารอูเครนใช้ระเบิดดาวกระจายในพื้นที่บางส่วนของอูเครนที่รัสเซียยึดครองอยู่ นายกฯ ฮุน เซนบอกว่า ประเทศของตนมีประสบการณ์อันเจ็บปวดจากการทิ้งคลัสเตอร์บอมบ์ของสหรัฐฯ “สงสารคนอูเครน ผมจึงขอเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯในฐานะผู้จัดส่งและประธานาธิบดีอูเครนในฐานะผู้รับ ว่าอย่าใช้คลัสเตอร์บอมบ์ในสงคราม เพราะเหยื่อที่แท้จริงคือชาวอูเครนเอง.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com