ทำไม? บทบาทการทูตไทยที่เคยโดดเด่น ทั้งใน เวทีอาเซียน และ เวทีโลก จึงตกต่ำลงอย่างน่าใจหายในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ระยะหลังแทบไม่มีใครพูดถึงประเทศไทยเลย แม้ไทยจะเพิ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกก็ตาม มีอดีตทูตไทยให้ฉายาการทูตไทยยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ว่าเป็นยุค “การทูตแบบเงียบ” คือ ไม่พูดอะไรเลย ไม่มีท่าทีอะไรเลยต่อปัญหาของสังคมโลก จนกระทั่ง คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกฯคนที่ 30 ได้ประกาศนโยบายฟื้นฟูการทูตไทย เพื่อทวงศักดิ์ศรีของประเทศไทยบนเวทีโลกกลับคืนมา ผมเชื่อว่าจะมีเสียงตอบรับจากคนในกระทรวงต่างประเทศไม่น้อยเลยทีเดียวสาเหตุที่ทำให้ การทูตไทยตกต่ำ อาจเป็นเพราะ ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง อย่างที่เขาวิจารณ์ก็เป็นไปได้ ทุกวันนี้ชื่อของประเทศไทยแทบจะไม่ถูกพูดถึงเลยในเวทีโลก ยกเว้นการท่องเที่ยว เมื่อเขาพูดถึง อาเซียน เขาจะพูดถึง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ไม่มีชื่อ ประเทศไทย ทั้งที่ไทยเป็นผู้ก่อตั้งอาเซียนคุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศ ให้ความเห็นไม่นานมานี้ว่า ระยะหลังนี้บทบาทประเทศไทยในเวทีโลกลดลงไปมาก เมื่อพูดถึงอาเซียน หรือผู้นำระดับโลกมาเยือนอาเซียนจะสังเกตเห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นอันดับแรกๆที่เขามาเยือน และคำว่า “อาเซียน” ก็จะหมายถึง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และ เวียดนาม ส่วนไทยมักไม่ได้รับการกล่าวถึงในฐานะบทบาทผู้นำ แต่ไทยถูกกล่าวถึงในฐานะแหล่งท่องเที่ยว ผู้คนยิ้มแย้ม อาหารอร่อยคุณสีหศักดิ์ เล่าว่า ล่าสุดไปเจอทูตต่างชาติและเพื่อนที่อยู่ในวงการต่างประเทศ ล้วนมีความเห็นคล้ายกันว่า การต่างประเทศไทยมุ่งเน้นในประเทศเป็นหลัก (domestic oriented) (ซึ่งเป็นเรื่องตลก) บ้างก็ว่าบทบาทไทยหายไป (missing links) ในอาเซียน และ ดำเนินการต่ำกว่าความสามารถของประเทศ (under perform)คุณสีหศักดิ์ ยังได้พูดถึง นโยบายต่างประเทศแบบไผ่ลู่ลม ของ พรรคก้าวไกล ที่ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกฯคนที่ 30 เคยนำเสนอว่า แน่นอนเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าข้างหรือเข้าค่ายใดเลย โดยเฉพาะ การให้ความสำคัญกับมหาอำนาจเท่าเทียมกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะปฏิบัติเท่าเทียมกันในทุกกรณีและอยู่ตลอดเวลา แต่ต้องพิจารณาตามหลักการที่ยึดถือและผลประโยชน์ของไทย หัวใจสำคัญของ นโยบาย Rebalancing (ของพรรคก้าวไกล) นั่นคือ ทำให้ประเทศต่างๆเห็นความสำคัญของไทย เราถึงจะมีอำนาจต่อรอง และ การปรับมาตรฐานการทูตของไทย (ที่ตกต่ำมากในยุคนี้) เราอาจต้องมองไกลกว่าประเทศ ต้องมองไทยในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก ต้องมีบทบาทผู้รับผิดชอบ แม้ว่าบางปัญหาไม่ได้กระทบกับไทยโดยตรงทันที แต่เราต้องแสดงบทบาทนำต่อเรื่องนั้นๆ เช่น ปัญหาผู้ลี้ภัย กฎกติกาโลกใหม่ การเปลี่ยนแปลงสภาพผู้มิอากาศคุณพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันดี.ซี.ส.ว.สายกลาง ก็เป็นอีกคนที่วิจารณ์ถึงบทบาทการทูตไทยหลังยุครัฐประหารผ่าน วิทยุรัฐสภา ว่า ค่อนข้างเงียบ รอดูเหตุการณ์ไม่อยากมีบทบาทเด่นอะไร พยายามใช้ “การทูตแบบเงียบ” แต่เงียบๆที่ผ่านมา 9 ปีเศษ มันเงียบจนเราไม่ได้ยินอะไร และไม่เห็นผลอะไร ที่ผ่านมาเรามีปมว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ประเทศประชาธิปไตยเขาจึงเย็นชากับเรา ถ้าเรา เปลี่ยนผ่านมาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ได้รับ mandate ที่ชัดเจน เราสามารถจะขยายความร่วมมือกับประเทศเหล่านี้ได้ ไม่เงียบจนโดดเดี่ยวอีกต่อไปนี่คือ หนึ่งทศวรรษการทูตไทยที่หายไปในยุค คสช. ทั้งที่ไทยเคยเป็นพี่ใหญ่ในอาเซียน พูดอะไรคนก็เกรงใจ แต่วันนี้คนไม่เกรงใจ กลายเป็นลูกไล่ แค่สหรัฐฯชี้นิ้วก็กลัวหงอ ไม่กล้าเจรจาต่อรองส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าศักยภาพ มีแต่คนจนที่เพิ่มขึ้น.“ลม เปลี่ยนทิศ”