ความชะงักงันทางการเมืองของมาเลเซีย นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 19 พ.ย. และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้จบลงในที่สุด...ภายหลังสมเด็จพระราชาธิบดีมาเลเซียทรงใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ “ปลดล็อก” การจับขั้วไม่ลงตัวเสนอแนะชัดเจนว่า กลุ่ม บาริซาน นาซิโอนาล นำโดยพรรครัฐบาลอัมโน ควรเปลี่ยนความคิด “ขอเป็นฝ่ายค้าน” เสียใหม่ และจะเป็นการเหมาะสมกว่าที่จะหอบคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 30 เสียง ไปสนับสนุนพรรคที่ได้รับเลือกตั้งที่มีคะแนนนำ ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงกลุ่ม ปากาตัน ฮาราปัน ของ “อันวาร์ อิบราฮิม”แกนนำฝ่ายค้านผู้โด่งดังในแวดวงการเมืองมาเลเซียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเหตุนี้เท่ากับว่า กลุ่มของอันวาร์ 82 เสียง รวมกับบาริซาน (อัมโน) 30 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้สำเร็จตามเกณฑ์ 112 เสียง จากทั้งสภา 222 เสียง และยังทำให้พรรคการเมืองต่างๆที่เคยจับมือกันในอดีต แห่กันเข้าร่วมวงไพบูลย์ไม่ว่ากลุ่มซาราวัก กลุ่มรักเกียตซาบาห์ หรือพรรคเล็กพรรคน้อยที่รวมกันแล้วมากถึง 19 พรรค ครองสัดส่วนในสภาประมาณ 148 เสียง ขณะที่กลุ่ม เปอร์ริกาตัน นาซิโอนาล หรือพรรคอิสลามมาเลเซีย และพรรคเบอร์ซาตู กลายเป็นฝ่ายค้าน ครองสัดส่วนในสภา 73 เสียง และทำให้ “อันวาร์ อิบราฮิม” กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของประเทศมาเลเซีย ด้วยวัย 75 ปี เข้ารับพิธีสาบานตนอย่างเป็นทางการที่พระราชวังอิสตานา กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมาสำหรับคนที่ติดตามการเมืองมาตลอด ย่อมพอจำความได้ว่า เส้นทางของอันวาร์เต็มไปด้วยขวากหนามจนทำให้ไปไม่ถึงฝั่งฝันตลอดชีวิตการเมือง 40 ปีที่ผ่านมาจากนักการเมืองหัวก้าวหน้า ดาวรุ่งพุ่งแรงในยุค’90 ถูกฟูมฟักให้เป็นทายาทอำนาจของอดีตนายกรัฐมนตรี “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” ได้ครองตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เก้าอี้ผู้นำเหมือนจะอยู่แค่เอื้อม กลับกลายเป็นผู้รับผิดชอบผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย “ต้มยำกุ้ง” ถูกปลดจากตำแหน่ง ตามด้วยการถูกคดีร่วมเพศแบบชายรักชายและคอร์รัปชัน โดนหิ้วเข้าเรือนจำในปี 2542 ท่ามกลางเสียง ลือเสียงเล่าอ้างว่า มหาเธร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และต้องการจบชีวิตการเมืองของอันวาร์เนื่องจากฉายแสงเกินพอดีแม้จะได้รับการปล่อยตัวในปี 2547 หลังศาลยกฟ้องคดีร่วมเพศชาย ช่วงเดียวกับที่มหาเธร์ ลงจากอำนาจได้ 1 ปี แต่อันวาร์ก็ถูกคดีร่วมเพศชายแบบเดิมอีกในปี 2558 กลับเข้าตะรางเป็นหนที่ 2 ซึ่งเจ้าตัวระบุว่าเป็นความพยายามเตะตัดขา เพราะในช่วงนั้นกลุ่มการเมืองของอันวาร์กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ระหว่างที่ถูกจองจำรอบ 2 อันวาร์ได้ “เคลียร์ใจ” กับมหาเธร์ เป็นที่เรียบร้อย โดยเป็นการคืนดีในช่วงเวลาเดียวกับที่พรรครัฐบาลอัมโนกำลังระส่ำระส่ายจากคดีคอร์รัปชันโกงกินกองทุน 1เอ็มดีบี (นำเงินสำรองประเทศไปลงทุน แทนที่จะเก็บไว้เฉยๆ) และมหาเธร์มีแผนจะหวนคืนสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่นานหลังจากมหาเธร์กลายเป็นนายกรัฐมนตรีรอบใหม่ในปี 2561 อันวาร์ก็ได้รับอภัยโทษปล่อยตัวจากคุกตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ ถือเป็นห้วงเวลานาทีทองสำหรับ “อันวาร์ อิบราฮิม” ก็ว่าได้ เนื่องจากขั้วรัฐบาลเต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งภายใน การย้ายค่ายของบรรดา ส.ส.พรรครัฐบาลอัมโนที่แกนนำถูกชำระบาปคดีกองทุน 1เอ็มดีบี พ่วงด้วยกระแสความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ความไม่พอใจที่ตำแหน่งรัฐมนตรีตกเป็นของคนเชื้อสายหนึ่งมากเกินไป การเรียกร้องแนวทางเคร่งศาสนา และสถานการณ์โควิด-19 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นโยบายกลุ่มปากาตัน ฮาราปัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลดความเหลื่อมล้ำทางชาติพันธุ์ การเดินทางสายกลางทางศาสนา และการต่อต้านคอร์รัปชันจะได้ใจจากประชาชนจนคว้าคะแนนเสียงมาได้สำเร็จ และทำให้มี “วันนี้ที่รอคอย” ถูกเรียกขานในที่สุดว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซียกระนั้น หนทางข้างหน้าของนายกรัฐมนตรี คนที่ 10 ก็ใช่จะปูด้วยกลีบกุหลาบ นักวิเคราะห์การเมืองต่างมองว่า ปัญหาอย่างแรกของรัฐบาลชุดใหม่คือ การตั้งคณะรัฐมนตรีเช่นไร ที่ไม่ให้ถูกครหาว่า “เลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ” เนื่องจากในกลุ่มปากาตัน ฮาราปันก็มีพรรคการเมืองเจ้าอิทธิพลที่เสียงดังกว่าใคร อย่างพรรคเดโมแครติก แอคชัน (DAP) ของกลุ่มนักการเมืองมาเลย์เชื้อจีนที่ครองเก้าอี้ ส.ส. 40 เสียง ยังไม่รวมถึงท่าทีของพรรคฝ่ายค้านอิสลามมาเลเซียที่เริ่มส่งสัญญาณขอเก้าอี้บริหาร มิฉะนั้นจะนำศาสนามาเป็นประเด็นเขย่ารัฐบาลชุดใหม่ตามด้วยความคาดหวังของประชาชน ที่อยากให้เศรษฐกิจปี 2566 ฟื้นตัว โดยเฉพาะเสียงจากกลุ่ม “คนเมือง” ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของปากาตันและที่สำคัญ “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” ที่หลายฝ่ายเชื่อกันว่าเป็นผู้พยายามสกัดการขึ้นสู่อำนาจของอันวาร์มาตลอด จะเล่นเกมอะไรอีกหรือไม่ในช่วงการบริหารประเทศ 5 ปีจากนี้...เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ.วีรพจน์ อินทรพันธ์