ในช่วงปลายยุคครีเตเชียสตอนปลาย ทวีปอเมริกาเหนือถูกแยกโดยทะเล แบ่งออกเป็น 2 ผืนแผ่นดินขนาดใหญ่คือ ลารามิเดีย (Laramidia) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก และแอปพาเลเชีย (Appalachia) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก แต่ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลจากแอปพาเลเชียนั้นหายาก ดังนั้นระบบนิเวศโบราณจากภูมิภาคนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจของนักวิจัยนัก ทว่าเมื่อเร็วๆนี้ มีทีมวิจัยหนึ่งพบว่าอาจไขความเข้าใจถึงภูมิภาคดังกล่าวได้ทีมวิจัยจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาตินอร์ท แคโรไลนา ในสหรัฐอเมริกา เผยว่า ฟอสซิลใหม่ของไดโนเสาร์ออร์นิโธมิโมซอร์ (Ornithomimosaur) หลายชิ้นที่ได้จากพื้นแหล่งทับถมซากปลายยุคครีเตเชียส ในมืองยูตอว์ รัฐมิสซิสซิปปี ทำให้มองเห็นช่วงเวลาวิวัฒนาการไดโนเสาร์ในอเมริกาเหนือได้ ซึ่งออร์นิโธมิโมซอร์มีรูปร่างคล้ายนกกระจอกเทศ มีศีรษะเล็ก แขนยาว ขาแข็งแรง ซากฟอสซิลเหล่านั้นประกอบด้วยกระดูกเท้าหลายชิ้น มีอายุราว 85 ล้านปี ซึ่งการเปรียบเทียบสัดส่วนของเหล่าฟอสซิลและรูปแบบของการเจริญเติบโตภายในกระดูก ทีมพบว่าฟอสซิลน่าจะเป็นของออร์นิโธมิโมซอร์ 2 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ชนิดหนึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก อีกชนิดหนึ่งมีขนาดใหญ่มาก ประเมินว่าชนิดที่ใหญ่กว่าจะมีน้ำหนักมากกว่า 800 กก. และมีแนวโน้มว่าจะยังคงเติบโตเมื่อช่วงที่มันตาย จัดเป็นหนึ่งในออร์นิโธมิโมซอร์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาทั้งนี้ การอยู่ร่วมกันของออร์นิโธมิโมซอร์ที่ต่างขนาดในปลายยุคครีเตเชียสของอเมริกาเหนือ ไม่เพียงให้ข้อมูลสำคัญถึงความหลากหลายและการกระจายของออร์นิโธมิโมซอร์ฝั่งดินแดนแอปพาเลเชียเท่านั้น แต่ยังให้หลักฐานที่กว้างขึ้นในการอาศัยอยู่ร่วมกันของหลายสายพันธุ์ในกลุ่มไดโนเสาร์ออร์นิโธมิโมซอเรียน (Ornithomimosaurian) ช่วงปลายยุคครีเตเชียสของมหาทวีปดึกดำบรรพ์ลอเรเซีย.Credit : Chinzorig Tsogtbaatar