สถานการณ์น้ำปลายปีนี้ยังต้องเฝ้าจับตา “ลานีญา” หวนกลับมาดีดตัวยกกำลังแรงพีกสุดในเดือน ก.ย.–ต.ค.2565 ที่ตรงช่วงฤดูฝนใหญ่มีพายุก่อตัวเคลื่อนเข้าประเทศไทย กลายเป็นปัจจัยหนุนให้ฝนตกมากซ้ำเติมน้ำเอ่อล้นท่วมบ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตรหลายพื้นที่ยืดเยื้อยาวไปถึงต้นปีหน้าโดยเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและกรุงเทพฯ ต้องเฝ้าระวังน้ำมากตั้งแต่เดือน ส.ค.-ต.ค. แล้วฤดูหนาวจะเย็นยะเยือกมากกว่าปกติเกือบทุกภาคถึงอย่างน้อยเดือน ก.พ.2566ปัจจัยทำให้ฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกตินี้ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร บอกว่า นับจากวันที่ 16 ก.ย.2565 ฝนจะมีแนวโน้มมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติทุกภูมิภาค เพราะลานีญาดีดกำลังแรงเฉียดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วในเดือน ก.ย.-ต.ค.ต้องระวังน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากเป็นพิเศษ คาดว่าปริมาณฝนน่าจะลากยาวไปอีกอย่างน้อยเดือน พ.ย.ด้วยซ้ำ ส่วนพื้นที่ภาคใต้มีแนวโน้มฝนตกหนักตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.เช่นกัน ตอกย้ำว่า “ปีนี้ฝนตกหนักน้ำท่วมมาก” มีสาเหตุชัดๆคือ “ลานีญาเกิดติดต่อเข้าสู่ปีที่ 3” ด้วยตามหลักแล้วมักเกิดขึ้นได้ไม่เกิน 2 ปีก็หมดไป “ดูจากสถิติย้อนหลังราว 100 ปี กรณีลักษณะนี้เป็นไปได้ยาก” เท่าที่ทราบ ครั้งนี้เป็นครั้ง 3 หรือเฉลี่ยในรอบ 30 ปี อันเป็นปัจจัยหนุนให้ปริมาณฝนปกติ ยกตัวตกมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติยิ่งขึ้นแน่นอนสิ่งนี้ล้วนมาจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)” ที่มนุษย์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศห่อหุ้มเปลือกโลก “ดูดซับกักเก็บความร้อน” สะสมหนาเกินความเหมาะจนอากาศร้อนขึ้น “ก่อให้โลกแปรปรวน” ค่าอุณหภูมิกลางวัน-กลางคืนเหวี่ยงรุนแรง หรือปริมาณฝนมาน้อยแต่ตกหนักประเด็นเรื่องนี้ทำให้ “เกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯซ้ำซาก” มีปัจจัยอยู่ 3 สาเหตุคือ ปัจจัยแรกคือ...“ภัยธรรมชาติ” ด้วยลานีญาเกิดขึ้นติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ยืดเยื้อต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ปริมาณน้ำสะสมมาก ปัจจัยที่สอง... “การบริหารจัดการรับมือน้ำ” เรื่องนี้อาจต้องถาม กทม.ขุดลอกคูคลองป้องกันปัญหาน้ำท่วมกันบ้างหรือไม่ปัจจัยที่สาม...“ขาดการบูรณาการใช้ที่ดินกับเรื่องน้ำ” เพราะปัจจุบันมีสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำเกิดขึ้นใหม่มากมาย “ทั้งตึกรามบ้านช่อง และถนน” ยิ่งกว่านั้นพื้นที่แก้มลิงใช้รองรับน้ำก็ลดน้อยหายลงไปเรื่อยๆ เพราะถูกนำไปใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์กันเกือบหมด สุดท้ายก็ไม่มีพื้นที่สาธารณะรับน้ำ ดังนั้น แม้ฝนตกในปริมาณเท่าเดิมแต่แหล่งรองรับน้ำกลับลดน้อยลง “น้ำย่อมท่วมเป็นธรรมชาติ” เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า “การทำผังเมืองกทม.ขาดการบูรณาการการพัฒนาเมืองควบคู่ไปกับน้ำ” อย่างเช่น เดิมวางระบบท่อระบายน้ำขนาดเล็ก 40-60 ซม. เมื่อเขตเมืองเติบโตขึ้นก็มิได้ลงทุน ขยายท่อกว้างขึ้นด้วยซ้ำกลายเป็นว่า “ท่อรับน้ำมากกว่าเดิม” ทั้งน้ำถูกปล่อยจากอาคารบ้านเรือน แล้วต้องเจอกับฝนที่ตกมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ สิ่งนี้เป็นปัจจัยเพิ่มให้ระบบท่อระบายน้ำได้ไม่ทัน ทำให้เกิดน้ำท่วมดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เรื่องนี้ในอนาคต “ต้องสร้างกฎเกณฑ์ใหม่” ถ้าหากมีกรณีสิ่งปลูกสร้างใดขวางทางน้ำ อาจต้องกำหนดระเบียบให้มีระบบระบายน้ำควบคู่ไปด้วย ส่วนระบบของเดิมที่เป็นปัญหาอยู่นั้น “ต้องลงทุนแก้ไข” ด้วยการประเมินจัดการพื้นที่วิกฤติก่อน แล้ว “ปรับปรุงระบบท่อน้ำจุดนั้น” เพื่อให้มีประสิทธิภาพรองรับน้ำฝนได้มากขึ้นถัดมาคือ “กรุงเทพฯต้องมีพื้นที่แก้มลิง” ไม่ใช่มุ่งสร้างเมืองเป็นหลักไปจนทั้งหมด ฉะนั้น อาจต้องมี “บางพื้นที่ต้องเสียสละ” ให้เป็นที่ดินสาธารณะรองรับน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจได้ดีขึ้นต่อมากระแส “ย้ายกรุงเทพฯหนีน้ำ” ความเห็นส่วนตัว “ถ้าแก้จุดบกพร่องที่มีอยู่” เรายังคงไม่ต้องเดินไปถึงแนวคิดนั้น “โดยเฉพาะเรื่องขุดเจาะใช้น้ำบาดาล” ที่มักก่อปัญหาการทรุดตัวของดินค่อนข้างมาก ทั้งบวกกับ “น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นเรื่อยๆ” จากปัจจัยของสภาวะโลกร้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย กลายเป็นห่วงโซ่กระทบถึง “กรุงเทพฯและปริมณฑล” จนหลายจุดเจอน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งกัดกินทีละเล็กทีละน้อย “เรื่องนี้อนาคตถ้าไม่แก้ปัญหาด้านใดด้านหนึ่งให้เป็นรูปธรรม” ไม่ว่าจะแก้ปัญหาใช้น้ำบาดาลให้น้อยลง หรือการบูรณาการใช้ประโยชน์ในที่ดินสอดรับทางน้ำ สุดท้ายอาจต้องย้ายเมืองหนีน้ำจริงๆก็เป็นไปได้ย้อนกลับมา “เรื่องน้ำฝนในปี 2566” คาดการณ์ว่าเดือน ม.ค.-มี.ค.ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน ฝนมีแนวโน้มลดลงกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ส่วน “ภาคใต้” จะมีฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะเดือน พ.ย.2565 อันเป็นช่วงฤดูฝนใหญ่ “ภาคใต้ตอนล่าง” ควรต้องเฝ้าระวังน้ำมากเป็นพิเศษเหตุนี้ส่งสัญญาณว่า “ปีนี้ภาคใต้” จะเกิดน้ำท่วมใหญ่หนักกว่าปีที่แล้ว เพราะปี 2564 ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยปกติราว 5% แต่ว่าปี 2565 น้ำฝนมามากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10–20% ด้วยซ้ำอย่างไรก็ดีเราต้องลุ้นกันต่อตั้งแต่เดือน ก.ย.-พ.ย.2565 ที่เป็นช่วงการก่อตัวพายุเคลื่อนตัวเข้าใกล้ หรือผ่านประเทศไทยเสมอ แต่ก็พอมีเรื่องดีหากดูจาก “ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา” คาดการณ์ว่าแนวโน้มพายุเคลื่อนเข้ามาในทะเลจีนใต้น่าจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติแต่บอกก่อนว่า “ปริมาณน้ำฝนมาก” มิได้มีตัวชี้วัดเพียงแค่ “พายุ” แล้วทำให้เกิดน้ำท่วมเท่านั้น เพราะบางครั้งมวลอากาศเย็นจากจีนแผ่ปกคลุมไทยปะทะกับมวลอากาศร้อนก็เกิดฝนตกหนักได้เช่นกัน สัญญาณข่าวดี “ปี 2566 ทุกภูมิภาคอาจเจอภัยแล้งน้อยลง” ด้วยลานีญาแผลงฤทธิ์หนักตลอด 3 เดือนส่งท้ายปี “ดินเกิดความชุ่มชื้น และเขื่อนมีน้ำพอสมควร” ทำให้ไม่น่ามีภัยแล้งหนักในช่วง ก.พ.-เม.ย.นี้ถัดมาคือ “ฤดูหนาว” น่าจะได้เริ่มสัมผัสอากาศเย็นมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และจะหนาวกว่าปีที่ผ่านมาเกือบทุกภูมิภาคตั้งแต่เดือน พ.ย.2565-ก.พ.2566 “พีกสุดคือช่วงเดือน ธ.ค–ม.ค.” ดังนั้น ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของตัวเองทว่า “ปีนี้ภาคเหนือจะหนาวเย็นน้อยลง” เพราะฝนลดลงเร็วกว่าภูมิภาคอื่นมาตั้งแต่เดือน ก.ย.2565 ทำให้อุณหภูมิกลับมาสูงเร็วขึ้น แต่ก็มิใช่ว่า “จะไม่หนาวเพียงแต่จะเย็นน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ” เช่น บางแห่งในปี 2564 เคยมีอุณหภูมิอยู่ที่ 1-2 องศาฯ ในปี 2565 อาจจะสูงขึ้นอยู่ที่ 3-4 องศาฯก็ได้ข้อเสียลักษณะความผิดปกตินี้ “พืชผลการเกษตรระวังความเสียหาย” โดยเฉพาะข้าวที่ต้องเจออากาศหนาวเย็นนาน “มักตามมาด้วยโรค หรือข้าวออกรวงไม่สุด” ทำให้ผลผลิตไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยประเด็น “ฝุ่นละออง PM 2.5” หากนับดูจากนี้ “พื้นที่กรุงเทพฯ” มีแนวโน้มเผชิญปัญหาฝุ่นหนักกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะเดือน ธ.ค.-ม.ค.ท้องฟ้ามีโอกาสถูกปกคลุมด้วยฝุ่นจางๆ เพราะไม่มีฝนเข้าช่วยเหมือนเดิมแม้แต่ในมิติ “ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน” ถ้ากรณีการเผาใบอ้อย ตอซัง และฟางข้าว ยังไม่ได้รับการแก้ไขในเรื่องฝุ่น จะกลับมาเป็นปัญหาสำคัญมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วอีกทั้ง “รถบรรทุกปล่อยควันดำ” ก็ยังไม่มีมาตรการอื่นเข้ามาแก้ไขให้ชัดเจน นอกจาก “ตรวจจับควันดำ” ดังนั้น ในอนาคตเราคาดหวังว่า “มาตรฐานไอเสียรถยนต์ EURO” ที่เคยมีแผนประกาศไว้ในปี 2567 ตั้งเป้าขยับจาก EURO4 เปลี่ยนเป็น EURO5 กล่าวคือรถยนต์ออกใหม่จำเป็นต้องมีมาตรฐาน EURO5 เพื่อลดมลพิษฝุ่นนั้นพูดง่ายๆ “แหล่งกำเนิดฝุ่นยังมีปริมาณเท่าเดิม” ยกเว้นโรงงานขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่นควันก่อนปล่อยสู่ชั้นอากาศ ปัญหาคือ “โรงงานขนาดใหญ่มีน้อยกว่าโรงงานขนาดกลาง–ขนาดเล็ก” ที่กฎหมายควบคุมไม่ทั่วถึงด้วยซ้ำ ในเรื่องนี้ต้องเพิ่มความพยายามอีกมากจึงจะลดปัญหาฝุ่นได้อย่างมีนัยสำคัญอย่าลืมว่า “ภัยทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องโชคชะตา” คาดกันว่าเดือน ม.ค.2566 “ลานีญา” จะอ่อนกำลังเข้าสู่เฟสกลาง “สภาพอากาศจะเข้าสู่สภาวะปกติ” แต่ไม่ควรประมาทต้องติดตามใกล้ชิดกันต่อไป.