เป็นสามพี่น้องที่รักใคร่ผูกพันกันที่สุดในวงการแฟชั่นไทย สำหรับ “คล้ายเดือน, พิมพ์ดาว และมทินา สุขะหุต” จากแรงบันดาลใจที่เล่นแต่งตัวกันในวัยเด็ก กลายมาเป็นผู้สร้างความแฟนตาซีให้กับหญิงสาวทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ “Sretsis” แม้เวลาจะผ่านไป 2 ทศวรรษ แต่จักรวาลในความฝันของพี่น้องตระกูลสุขะหุตก็ยังคงงดงามไม่เหมือนใคร และเปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันโลดแล่น“ตอนกำลังจะจบการศึกษาจาก “Parsons School of Design” เอ๋ยเริ่มสร้างแบรนด์ Sretsis ในปี 2002 ด้วยแรงผลักดันและสนับสนุนจากครอบครัว โดยมีพี่อิ๊บ (คล้ายเดือน) ซึ่งจบสาขา “Magazine Publishing” ช่วยดูแลการตลาด และน้องเล็ก “แอ้” (มทินา) ช่วยเสริมให้แบรนด์สมบูรณ์ขึ้นด้วยไลน์เครื่องประดับ “Sretsis Jewelry” ทำให้ความแฟนตาซีของสเรทซิสแตกต่างและมีเอกลักษณ์ จนกลายเป็นคาแรกเตอร์ ในยุคแรกๆเราใช้จินตนาการถ่ายทอดความฝันให้เป็นจริงด้วยรูปทรงเสื้อผ้าที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลของผู้หญิง แต่ละคอลเลกชันจะคล้ายการบันทึกเรื่องราวชีวิตจริงของพวกเราในช่วงเวลาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง หรือการค้นพบแรงบันดาลใจรอบตัว ล้วนถูกนำมาถ่ายทอดลงบนผืนผ้าตามจินตนาการ องค์ประกอบคลาสสิกต่างๆถูกทวิสต์ให้มีความโมเดิร์นน่าค้นหา ขณะที่เรื่องเล่าเดิมๆถูกนำมาประยุกต์ผ่านกระบวนการตัดทอน แต่ไม่ใช่การแปลความอย่างตรงตัว เอกลักษณ์ของสเรทซิสยังอยู่ที่มีอารมณ์ตลกกึ่งเสียดสีซ่อนอยู่ นอกจากการออกแบบลายผ้าแล้ว เรายังใส่ใจกับการพัฒนาเทคนิคสร้างสรรค์ผ้าให้มีความแตกต่าง มีการนำเทคนิคโบราณที่ใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้าชั้นสูง เช่น การปัก (embroidery) และปะผ้า (applique) มาปรับแต่งใหม่ เรียกว่าตลอด 20 ปี ดีเอ็นเอของสาวสเรทซิสค่อยๆก่อร่างขึ้นอย่างชัดเจน”... “เอ๋ย-พิมพ์ดาว” ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนเก่งบอกเล่าถึงที่มาของความฝัน ดีเอ็นเอของแบรนด์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาไหมเอ๋ย : ความแฟนตาซีของเราไม่หายไป แต่เป็นโกรว์อัปแฟนตาซี มีความโซฟิสทิเคทิดขึ้นและมีความลึกซึ้งขึ้น เรารู้สึกว่าสไตล์การดีไซน์ยิ่งชัดเจนขึ้น ตอนแรกอาจยังอยู่ในช่วงค้นหาตัวเองและทดลองสิ่งต่างๆ แต่ตอนนี้เราแตกได้ชัดเจนแล้วว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ดีเอ็นเอความเป็นสเรทซิสมีอยู่ด้วยกัน 5 ธีมหลักๆ คือ Language of Flowers, Mythical Creatures, Sretsis Universe, Gentlewomen’s Club และ Modern Couture เราอยากให้แฟนตาซีของเราสัมผัสได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงใส่ใจในรายละเอียดและมีความเป็นคราฟส์แมนชิปในทุกอณู ไม่จำเป็นต้องใส่สเรทซิสเฉพาะในโอกาสพิเศษ แต่สามารถหยิบมาใส่ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อทำให้วันนั้นเป็นวันที่สดใสขึ้นมีความสุขขึ้น หรืออยากสั่งตัดในซิลูเอ็ตอื่นๆและเลือกลายพิมพ์ที่ชอบจากคลังของเรา ก็มีบริการให้ลูกค้าถึงบ้านอิ๊บ : ดีเอ็นเอของเราไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าพวกเราจะเป็นคุณแม่แล้ว เพียงแต่เราขยายจากความเป็น “Sretsis Fantasy” ไปเป็น “Living the Sretsis Fantasy” นำความเป็นสเรทซิสขยายเข้าไปสู่การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของทุกคนมากขึ้น เรายังได้ไปคอนเนกต์กับศิลปินดังๆหลายประเทศ เพื่อขยายความเป็นซิสเตอร์ฮูดในแบบสเรทซิสออกไปทั่วโลก พวกเราเชื่อว่าเรามีเพื่อนสาวแบบนี้อยู่ทั่วทุกมุมโลก และค้นพบว่าการคอลลาบอเรชันกลายเป็นนอร์มใหม่สำหรับแฟชั่น กลายเป็นฟิวเจอร์ที่สำคัญมาก เราควรหาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านจากทั่วโลกแล้วจับมือมาชนกัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดร่วมกัน เราหยิบเฮริเทจต่างๆของแบรนด์มาเล่าให้สดใหม่ขึ้นในทุกซีซัน ทวิสต์แล้วยังเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เป็นอะไรที่ไทม์เลสเหนือกาลเวลาแอ้ : เราเชื่อในคุณภาพและเชื่อในของจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเป็นเรา พวกเราชื่นชมในอาร์ติสต์หลายๆแขนง ถ้าอยากทำวอลเปเปอร์ ก็ต้องไปคอนเนกต์กับอาร์ติสต์ที่เราชื่นชมเท่านั้น หรืออยากทำรองเท้าจะไปหาใครล่ะ ก็ต้องไปหาอาร์ติสต์คนโปรดของพวกเรา แล้วใส่ลายของเราเข้าไป หรือคนที่เป็นอาร์ติสต์ฝรั่งเศสมีความเพลย์ฟูลเหมือนเด็ก เราก็ลองเอามาคอลแลบกับเสื้อผ้าเด็กของสเรทซิสดู และต่อไปถึงไลฟ์สไตล์ เวลาที่เราเอาครีเอทีฟมายด์มารวมกันจะยิ่งพาวเวอร์ฟูลขึ้น ฐานลูกค้าโตขึ้นตามอายุของแบรนด์ไหมคะเอ๋ย : ฐานลูกค้ากลุ่มเดิมยังเหนียวแน่น เรียกว่าเติบโตไปพร้อมกับแบรนด์ มีลูกค้าตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนเขาแต่งงานและมีลูก เดี๋ยวนี้ลูกเขาใส่แบรนด์สเรทซิสด้วย หรือเราเริ่มเห็นลูกค้าส่งต่อเสื้อผ้าสเรทซิสให้ลูก เห็นแบบนี้แล้วจะดีใจมาก เฮ้ยแบบคุณแม่ยังเก็บชุดนี้ไว้อยู่เลย แม้กระทั่งคุณชมพู่-อารยา ก็พาสออนเสื้อของสเรทซิสให้น้องสายฟ้าใส่ คือมันโดนใจเรามาก เราตั้งใจให้สเรทซิสเป็นมากกว่าเสื้อผ้า แต่เป็นเหมือนเฮริเทจที่ส่งมอบต่อๆกันได้ เป็นแบรนด์ที่รู้สึกผูกพันและสะท้อนความทรงจำบางช่วงเวลาได้ บางครั้งเราเห็นเสื้อผ้าสเรทซิสแล้วจะรู้สึกว่าเฮ้ยนี่คือเราในโมเมนต์ตอนนั้น บางชิ้นก็ยังเป็นชิ้นโปรดที่เก็บไว้อยู่ อยากให้รู้สึกว่าเป็นเสื้อผ้าที่เขาจะไม่ทิ้งมันเพราะมีแวลู บางครั้งพิเศษมากสามารถส่งต่อเรื่องราวไปได้ถึงรุ่นลูก วิกฤติโควิดหนักสุดในชีวิตเลยไหม ฟันฝ่ามาได้อย่างไรอิ๊บ : ความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะเจอวิกฤติหนักแค่ไหน ตราบใดที่เราไม่กลัว และยังมีความคิดสร้างสรรค์ ก็สามารถพลิกแพลงได้ทุกสถานการณ์ เช่น ตอนล็อกดาวน์โควิด ลูกค้าออกจากบ้านไม่ได้ เราต้องคิดหาวิธีว่าทำยังไงถึงจะเซิร์ฟลูกค้าได้ เราก็พาคอลเลกชันไปหาคุณลูกค้าถึงบ้าน พวกเราถือโอกาสนี้รีโนเวทออฟฟิศใหม่หมดเนรมิตให้เป็นสีชมพู รถสีขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพู น้องเอ๋ยยังทำคอลเลกชันพิเศษสำหรับการกักตัวอยู่บ้าน เน้นชุดลำลองใส่อยู่บ้านสบายๆ หรือใส่ประชุมซูมก็ได้ หันมาเน้นทำเสื้อผ้าที่มีความฟังก์ชันนอลมากขึ้น แม้แต่วัสดุเราก็ใช้ผ้าคอตตอนหมด เพื่อให้ดูแลง่ายและใส่สบายขึ้น จากเดิมที่ทำเป็นผ้าซิลก์ต้องส่งซักแห้ง ช่วงโควิดทุกคนอยู่บ้านกันเยอะขึ้น ก็เป็นจังหวะให้ออกคอลเลกชันไลฟ์สไตล์และของตกแต่งบ้าน เพื่อทำให้บ้านเป็นที่ที่มีความสุข เพื่อให้ลูกค้าสนุกขึ้นเวลาอยู่บ้าน ขณะเดียวกัน เราก็ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น มีการนำเศษผ้าเหลือใช้จากการผลิตเสื้อผ้ามาทำเป็นปลอกหมอนและผ้าปูโต๊ะ ยกเว้นร้านน้ำชา “Sretsis Parlour” ที่จำเป็นต้องปิดชั่วคราวในช่วงโควิด เพราะลูกค้า 90% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องปรับตัวให้เด็กลงเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ไหมแอ้ : เราเชื่อว่าความเป็นสเรทซิสมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยทุกประเทศ คนที่เป็นผู้หญิงแบบนี้ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็มี เรามั่นใจว่ามีเด็กผู้หญิงยุคนี้ที่ชอบในความเฟมินินและแม็กซิมอลของสเรทซิส เราไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองนะคะ เพียงแต่ต้องพยายามหาวิธีสื่อสารเพื่อเข้าถึงกลุ่มนิชรุ่นใหม่ที่เป็นเลดี้ในแบบสเรทซิส เราถึงเลือกฉลองครบรอบ 20 ปี ด้วยการจัดนิทรรศการ แทนที่จะเป็นแฟชั่นโชว์ เพราะเราอยากเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น อยากสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ และแชร์ประสบการณ์บนเส้นทางแฟชั่น เส้นทางอาชีพสายนี้สวยหรูอย่างที่คิดไหมเอ๋ย : มีหลายโมเมนต์ที่รู้สึกท้อว่าเรามาทำเสื้อผ้าทำไมเนี่ย แล้วคุณแม่จะบอกว่าอาชีพไหนก็มีอุปสรรคเหมือนกันแหละลูก แต่เราโชคดีที่มีกันสามคนพี่น้อง พวกเราบิลต์มาด้วยกัน เวลาคนหนึ่งท้อทำท่าจะไปแล้ว ก็ยังมีอีกสองคนคอยประคับประคองไว้ ยุคแรกเราทำคอลเลกชันปีละ 2 ครั้งก็เยอะแล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเนเจอร์ของคนมันเร็วมาก ปีหนึ่งต้องทำ 4 คอลเลกชัน และยังต้องออกคอลเลกชันจุ๊บจิ๊บตามเทศกาลอีก เราต้องปรับตัวเยอะมากเพื่อให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปเร็วมาก ทั้งๆที่อยากใช้เวลานั่งคิดนั่งกลั่นกรองให้งานออกมาดีที่สุด ลูกค้าอยากได้ของใหม่ตลอดเวลา ตรงนี้ถือเป็นความท้าทายมากเศรษฐกิจก็ไม่ดี ทำไมกล้าทุ่มทุนสร้างจัดนิทรรศการใหญ่ขนาดนี้แอ้ : การที่เราจัดนิทรรศการ “INTO SRETSIS UNIVERSE, 20th Anniversary Exhibition” ที่ ATT19 เจริญกรุง 30 (ตั้งแต่วันที่ 10-30 ก.ย.นี้) เพื่อฉลองในโอกาสครบรอบ 20 ปี การเดินทางของแบรนด์สเรทซิส นอกจากจะเป็นการบันทึกเรื่องราวชีวิตจริงในช่วงเวลาต่างๆผ่านมุมมองของพวกเราสามพี่น้อง นิทรรศการครั้งนี้คือไมล์สโตนของพวกเรามากๆ ที่จะได้ทำสิ่งนี้ให้กับประเทศไทย เรารู้สึกว่าเวลาเราเรียนต่างประเทศก็ได้ไปดูนิทรรศการดีๆเยอะแยะ แต่ทำไมเมืองไทยถึงไม่ค่อยมีอะไรแบบนั้น มันเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์สัญชาติไทย ถึงแม้เราสามคนจะไปโตที่ต่างประเทศ และจุดเริ่มต้นแบรนด์เกิดขึ้นที่นิวยอร์ก แต่ท้ายสุดเราก็เป็นคนไทยและเป็นแบรนด์ไทย ทุกอย่างมันคือรูตแท้ๆของเรา อีก 10 ปีข้างหน้า “Sretsis” มองเห็นตัวเองอยู่ตรงไหนแอ้ : ก็คงเป็นสเรทซิสที่ชัดเจนยิ่งขึ้น พี่เอ๋ยจะไม่ต้องออกแบบคอลเลกชันใหม่ทุก 2 เดือนอีกแล้ว เราจะเอาความฝันทั้งหมดของสเรทซิสมาเล่าใหม่ให้เข้าใจมากขึ้น แอ้เชื่อว่าความเป็นสเรทซิสมีอยู่ในตัวผู้หญิงทุกคน เราอยากเข้าถึงผู้หญิงทุกคน สเรทซิสไม่ได้มีด้านเดียว ตัวแอ้เองก็มีแบบว่าเข้ากับ 3 ธีมของสเรทซิสมากๆ แต่อีก 2 ธีม จริงๆแล้วอยากใส่นะ แต่หุ่นเรายังไม่ให้อะไรแบบนี้ แต่เราก็อยากให้มีสเรทซิสอย่างน้อยหนึ่งชิ้นในตู้เสื้อผ้าของสาวไทย ที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ