การใช้ “ATK” หรือ “Rapid antigen test”...US FDA ออกประกาศเตือนประชาชนล่าสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ให้ระวังเรื่อง “ผลลบปลอม”กล่าวคือ...ชุดตรวจเองที่บ้านนั้นมักมีปัญหาเรื่อง “ความไว” ทำให้ เกิด “ผลลบปลอม” ได้สูง แปลว่า...ติดเชื้อแต่ตรวจได้ผลลบ ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองไม่ติดเชื้อ และมีโอกาสที่จะประมาทใช้ชีวิตไม่ป้องกันตัว และแพร่ให้คนใกล้ชิดและชุมชนได้ คำแนะนำคือ...หากตรวจแล้วได้ผลบวก มักจะบ่งชี้ถึงการติดเชื้อจริงสำหรับ “คนที่มีประวัติสัมผัสหรือสงสัยว่าจะติดเชื้อ แต่ยังไม่มีอาการ” หากตรวจ ATK แล้วได้ผลลบในครั้งแรก อย่าชะล่าใจ ควรตรวจซ้ำในอีก 48 ชั่วโมงและแม้จะยังได้ผลลบอีกครั้ง ก็ควรตรวจซ้ำเป็นครั้งที่สามในอีก 48 ชั่วโมงถัดมาส่วน “คนที่มีอาการป่วย” สงสัยว่าจะเป็นโควิด-19 หากตรวจ ATK แล้วได้ผลลบในครั้งแรก อย่าชะล่าใจ ควรตรวจซ้ำในอีก 48 ชั่วโมง แต่หากได้ผลลบอีกครั้งและยังมีความกังวล ควรตรวจซ้ำเป็นครั้งที่สามในอีก 48 ชั่วโมงถัดมาด้วย ATK หรือหาทางไปตรวจ RT-PCR หรือ ปรึกษาแพทย์ถ้าครั้งใดที่ตรวจแล้วได้ผลบวก ก็แปลว่า...มีโอกาสติดเชื้อจริง ควรปฏิบัติตัวตามข้อปฏิบัติสำหรับผู้ติดเชื้อ เช่น ไปทำการรักษา และแยกตัวจากคนอื่น รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ บอกว่า คำแนะนำข้างต้นสอดคล้องกับที่เคยเตือนไว้ตั้งแต่ปีก่อน ตอนช่วงต้นๆที่มีการนำ ATK มาใช้ในเมือง ไทยยาวมาถึงปัจจุบันว่า...ต้องระวังเรื่องผลลบปลอมให้ดี การตรวจซ้ำเป็นระยะๆนั้นมีความสำคัญมากบันทึกสถานการณ์การระบาด “โควิด-19” วันที่ 12 สิงหาคม 2565 ประเด็นที่ควรระวังคือ การปล่อยข่าวให้คนเข้าใจผิดคิดว่ายังไงก็หนีไม่พ้นการติดเชื้อรวมถึงการชักแม่น้ำทั้งห้ามาตะล่อมให้คนเข้าใจว่าไวรัสอ่อนลง ทั้งที่ “ความจริงทางการแพทย์” นั้นชี้ให้เห็นว่าไวรัสโควิด-19 นั้นยังแพร่ระบาดเร็ว รุนแรง ติดแล้วป่วยและตายได้ แม้จะได้รับวัคซีนหรือเคยติดเชื้อมาก่อนก็ตาม นอกจากนี้ ปัญหาผิดปกติระยะยาวอย่าง “ลองโควิด (Long COVID)” ก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยยังไม่มีวิธีรักษาอย่างจำเพาะเจาะจง ก่อให้เกิดความพิการ ทุพพลภาพ หรือรุนแรงจนเสียชีวิตได้ โดยการฉีดวัคซีนก็ลดความเสี่ยงได้ราว 15%ความจริงต่างๆข้างต้น ขอให้เราทุกคนรับทราบไว้ อย่าหลงเชื่อข่าวลวงที่...tone down harm and risk perception...ลดทอนการรับรู้อันตรายและความเสี่ยง บทเรียนสองปีครึ่งที่ผ่านมานั้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมากมาย มาจากอะไรบ้าง ขอให้เรียนรู้ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ทำในสิ่งที่ควรทำไม่ควรยอมเป็น “หนูทดลอง” ให้กับแนวคิดพิลึกพิลั่นและเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ สวัสดิภาพ และความปลอดภัยในชีวิตของตัวเรา ครอบครัว และสังคมการรู้เท่าทัน และป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง พลิกข้อมูล...สถิติการเสียชีวิตของไทย เมื่อดูค่าเฉลี่ยรอบ 7 วัน (7-day rolling average) ต่อประชากรล้านคน จะพบว่าการเสียชีวิตของไทยยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก สูงกว่าของทวีปเอเชีย และสูงกว่ากลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงอย่างชัดเจนยิ่งหากเราทราบกันดีว่า จำนวนเสียชีวิตรายวันที่รายงานในระบบนั้นไม่รวมคนที่เสียชีวิตที่มีโรคอื่นร่วม ตัวเลขจริงของผู้เสียชีวิตทั้งหมดซึ่งตรวจพบว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 ย่อมสูงกว่าที่เห็นในรายงาน และถ้านำมาพล็อตกราฟ ก็จะยิ่งเห็นกราฟที่ทิ้งห่างจากประเทศอื่นมากขึ้นเหนืออื่นใด ข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าการระบาดยังคงรุนแรงและทำให้เกิดความสูญเสีย การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอจึงสำคัญมากอัปเดตความรู้เกี่ยวกับ “ลองโควิด” เริ่มจาก Crunfli F และคณะ จากประเทศบราซิล เผยแพร่ผลการวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์ระดับสากล PNAS (11 ส.ค.2565) สาระสำคัญคือ...การแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วย ที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 นั้น นอกจากจะพบว่าทำให้เนื้อสมองฝ่อได้แล้ว เชื้อจะติดเชื้อในเซลล์สมองชนิด Astrocytesซึ่งเป็นเสมือนโครงสร้างของสมองและทำหน้าที่ป้อนแหล่งพลังงานและนำส่งสารสื่อประสาทให้แก่เซลล์ประสาทในสมองการติดเชื้อทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึม...การนำส่งพลังงาน...สารสื่อประสาทผิดปกติไป ส่งผลให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติและตายไปได้ กลไกทางพยาธิชีววิทยาที่ได้รับการศึกษาให้เห็นเช่นนี้ จึงอธิบายอาการและอาการผิดปกติทางสมองหรือระบบประสาทที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทั้งในระยะแรก หรือในระยะยาวหลังจากการติดเชื้อ ซึ่งพบปัญหาด้านความคิดความจำและอื่นๆในผู้ป่วยลองโควิดประเด็นสำคัญจึงมีอยู่ว่า...“การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ฉีดวัคซีนให้ครบ ระมัดระวังเรื่องกิจกรรมเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงและสถานที่เสี่ยง การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญ สุขสันต์วันแม่แห่งชาติครับ ขอให้คุณแม่ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย และมีความสุขครับ”แนวโน้มสถานการณ์ปัจจุบัน มีการประเมินกันไว้ว่า ภายในสิ้นเดือนนี้ ทั่วโลกอาจมียอดติดเชื้อทะลุ 600 ล้านราย...จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันมาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 87.15 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 68.54ฉายภาพมาที่สถานการณ์ระบาดของไทย พบว่า “คนสูงอายุมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันระดับเซลล์ที่ด้อยกว่า ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว”Joseph M และคณะจากสหราชอาณาจักร เผยแพร่ผลการวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับสากล PNAS เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นลักษณะตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันระดับเซลล์ (T-cell response) ต่อไวรัสโรคโควิด-19 เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และกลุ่มที่อายุน้อยกว่า 50 ปี พบว่าการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของคนที่อายุเยอะจะมีความจำกัดกว่าคนอายุน้อย ปรากฏการณ์ข้างต้นน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่มีส่วนอธิบายว่าเหตุใดคนสูงอายุที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 แล้วจึงมีโอกาสป่วยรุนแรง...เสียชีวิตมากกว่าตอกย้ำว่า...การดูแลและป้องกันการติดเชื้อแพร่เชื้อในผู้สูงอายุ รวมถึงคนที่มีโรคประจำตัวต่างๆ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จึงมีความสำคัญมาก ทั้งเรื่องการใส่หน้ากาก รวมถึงการฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนดปิดท้ายด้วย...“การวิจัยเพื่อหาทางรักษาภาวะลองโควิด” ต้องยอมรับว่าถึงวันนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาอย่างจำเพาะเจาะจง มีเพียงการศึกษาแนวทางต่างๆ เช่น ยาต้านการอักเสบ ยาสลายลิ่มเลือด สเตียรอยด์ และอื่นๆ ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะรู้ผล...การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมออย่าเพิ่งเบื่อ ความรู้เกี่ยวกับโควิด-19...รู้ไว้ใช่ว่า “ตื่นตัวย่อมดีกว่าตื่นตูม”.