ในที่สุดมาตรการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งของอินเดียก็เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดอันตรายจากมลพิษอันเลวร้ายที่ผ่านมาขยะพลาสติกเป็นแหล่งมลพิษสำคัญของอินเดีย ซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นหลอดและช้อนส้อมแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งในแต่ละปีอินเดียสร้างขยะพลาสติกราว 4.1 ล้านตัน การขาดระบบการจัดการขยะพลาสติกที่เป็นระบบ ทำให้ขยะปริมาณ 1 ใน 3 ไม่ได้ถูกนำไปรีไซเคิล นำไปสู่การทิ้งขยะอย่างกว้างขวาง และจบลงที่ทางน้ำและหลุมฝังกลบ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งมนุษย์และสัตว์มาตรการดังกล่าวห้ามการผลิต นำเข้า จัดเก็บ จัดจำหน่าย การใช้ และการขายสินค้าพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่หลอดพลาสติก ก้านสำลีเช็ดหู ภาชนะช้อนส้อม มีดที่ทำจากพลาสติก ไม้คนเครื่องดื่ม ไปจนถึงก้านลูกโป่งจากพลาสติก แท่งลูกอมและไอศกรีม พลาสติกห่อซองบุหรี่ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ และพลาสติกหรือพีวีซีที่หนาน้อยกว่า 100 ไมครอน แต่ไม่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทขวดน้ำและซองขนมขบเคี้ยว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีหลายชั้น ซึ่งรัฐบาลกำหนดเป้าหมายให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบในการนำไปรีไซเคิลหรือกำจัดอย่างเหมาะสมยิ่งไปกว่านั้นหากพบว่ามีการฝ่าฝืน ผู้กระทำผิดอาจต้องโทษปรับสูงสุดเป็นเงิน 100,000 รูปีอินเดีย (หรือราว 45,000 บาท) หรือรับโทษจำคุกเป็นเวลา 5 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทอาหารและเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคในอินเดียต่างวิพากษ์ วิจารณ์ว่า รัฐบาลไม่ให้เวลาเพียงพอในการเตรียมการสำหรับมาตรการครั้งนี้ พร้อมโต้ว่าวัสดุทางเลือกอื่นมีราคาแพง ยังเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการสั่งห้ามดังกล่าวและพยายามเกลี้ยกล่อมรัฐบาลให้งดการแบน “หลอด”ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมต่างยินดีกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่าเป็น "จุดเริ่มต้นที่ดี" กระนั้นบางคนยังเชื่อว่า อาจเป็นเรื่องยากสำหรับรัฐในการตรวจสอบและควบคุมเอกชนให้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว.อมรดา พงศ์อุทัย