เป็นหนังสือคลาสสิกในดวงใจของคนดังๆระดับโลก รวมถึงผู้ว่าฯที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” สำหรับ “How to Win Friends and Influence People” วิธีชนะมิตรและจูงใจคน เริ่มเขียนไว้ตั้งแต่ปี 1936 โดยสุดยอดนักคิด นักพูด และนักเขียนระดับโลก “เดล คาร์เนกี” ถูกนำมาแปลเป็นภาษาไทยด้วยฝีมือนักแปลบรมครูอย่าง “อาษา ขอจิตต์เมตต์” เมื่อปี 1950 แม้กาลเวลาจะผ่านไปเกือบ 9 ทศวรรษ แต่หลายๆเรื่องยังใช้ได้ดี โดยเฉพาะหัวใจของการสื่อสารเปี่ยมประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะตั้งใจทำงานเพียงไหน ถ้าเราสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ โอกาสประสบความสำเร็จแทบไม่มีการให้ความสำคัญกับผู้ฟัง...ไม่เอาตัวเราเป็นที่ตั้ง...ฟังให้เยอะ ดูว่าคนฟังสนใจเรื่องอะไร และอย่าไปทะเลาะโต้แย้ง คือคีย์เวิร์ดของการชนะมิตรและจูงใจคนในทุกยุค“เทคนิคสำคัญในการปฏิบัติต่อผู้อื่นให้ถือคติ ถ้าต้องการจะเอาน้ำผึ้ง ก็อย่าเตะรังผึ้ง” มนุษย์ทุกคนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นคนสำคัญและหิวกระหายคำยกย่อง ฉะนั้น ถ้าอยากให้งานเดินในทุกมิติ การชื่นชมยกย่องและให้กำลังใจคือ ยาชูใจดีที่สุด “เดล คาร์เนกี” ยกตัวอย่าง “ชาร์ลส์ ชวอบ” มือขวาคู่ใจของมหาเศรษฐีเจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็ก “แอนดรูว์ คาร์เนกี” เขาไม่ได้เก่งกาจพิเศษ แต่มีสมบัติล้ำค่าติดตัวคือ ความสามารถในการผูกใจคน ทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาขยันหมั่นเพียรและทำงานถวายหัว“ไม่มีสิ่งใดจะทำลายความทะเยอทะยานของผู้น้อยยิ่งไปกว่าการตำหนิติเตียนจากหัวหน้า ผมไม่เคยตำหนิติเตียนใคร เพราะเชื่อในหลักสนับสนุนกำลังใจในการปฏิบัติงาน เหตุนี้เองจึงพร้อมเสมอที่จะยกย่องชมเชย แต่ชิงชังการจะคอยจับผิด ถ้าผมพึงใจในการกระทำใด จะเห็นพ้องด้วยน้ำใสใจจริงและยกย่องชมเชยอย่างเต็มที่ ในชีวิตการสมาคมอย่างกว้างขวางของผม ยังไม่เคยพบมนุษย์คนไหน แม้ฐานะใหญ่โตสูงศักดิ์ ที่สามารถทำงานด้วยกำลังใจเข้มแข็งและพากเพียรเมื่อถูกตำหนิติเตียน”นั่นคือการปฏิบัติของ “ชาร์ลส์ ชวอบ” ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ เมื่อเกิดความไม่พอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มักปรี๊ดแตกเอ็ดตะโร แต่ถ้าพอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด กลับนิ่งเงียบ ไม่ปริปากชมแม้แต่คำเดียวใครๆก็อยากจะเป็นที่รักมากกว่าโดดเดี่ยว ไม่มีคนเอา “ปฏิบัติตัวยังไงให้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นในทันที” กฎข้อที่ 1 ของ “เดล คาร์เนกี” คือ จงเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างจริงใจ, กฎข้อที่ 2 แจกยิ้มด้วยไมตรีจิต, กฎข้อที่ 3 จำชื่อคนให้แม่น, กฎข้อที่ 4 จงเป็นนักฟังที่ดี สนับสนุนให้อีกฝ่ายได้พูดคุยในเรื่องของเขา, กฎข้อที่ 5 สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ และกฎข้อที่ 6 จงทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกเป็นคนสำคัญและจงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความพยายามทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์ทันที ถ้าทำด้วยความไม่จริงใจ“อยากจูงใจคนอื่นให้คล้อยตามแนวความคิดเรา” จงหลีกเลี่ยงมุมแคบไว้เสมอ เราไม่สามารถเอาชนะด้วยการโต้แย้ง และการโต้แย้งไม่สามารถเปลี่ยนใจมนุษย์ “เดล คาร์เนกี” ยอมรับว่า นี่คือบทเรียนสำคัญ เพราะพื้นฐานเขามีนิสัยเป็นนักโต้แย้งเข้ากระดูกดำ เคยแข่งขันโต้วาทีนับครั้งไม่ถ้วน และร่วมวงโต้แย้งของนักศึกษาเป็นพันๆครั้ง จากประสบการณ์ที่เจอบ่งชี้ได้ว่า 9 ใน 10 ของการโต้แย้งจะจบลงด้วยต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่าตนเป็นฝ่ายถูกเต็มประตู วิธีระงับการโต้แย้งและการโต้เถียงที่ดีที่สุดคือ จงหลบหลีกการโต้แย้ง เช่นเดียวกับหลบหลีกงูพิษและแผ่นดินไหว“ถ้าไม่อยากสร้างศัตรู ควรละเว้นการคัดค้านโต้แย้งให้ผู้อื่นได้รับความสะเทือนใจ อย่าบอกผู้ใดว่าเขาผิดเป็นอันขาด จงเคารพความคิดเห็นของคนอื่น” ในหนังสือยกตัวอย่าง “เบนจามิน แฟรงคลิน” รัฐบุรุษคนสำคัญของอเมริกา ซึ่งสามารถเปลี่ยนตัวเองจากคนหนุ่มหัวรั้นที่ชอบโต้แย้งเถียงไปเรื่อย กลายเป็นนักคิด นักการทูตที่มีวาจาอ่อนหวาน เป็นที่รักของผู้พบเห็น“เราได้วางเป็นกฎไว้ ที่จะละเว้นการคัดค้านโต้แย้งให้ผู้อื่นได้รับความสะเทือนใจ หรือกล่าวยืนยันอย่างหนึ่งอย่างใดว่า เราเป็นฝ่ายถูก เราไม่ยอมถือเป็นของสนุกที่จะขัดคอคนในทันที หรือแสดงกิริยาเยาะเย้ยความเข้าใจของผู้อื่น เราค้นพบว่า การเปลี่ยนมารยาทในการสนทนากับผู้อื่น ก่อให้เกิดประโยชน์เหลือคณานับ ทำให้การสนทนากับผู้อื่นดำเนินไปด้วยความกลมกลืนและเพลิดเพลินขึ้น ด้วยการใช้วิธีถ่อมตนในการแสดงความคิดเห็น ช่วยให้คู่สนทนายอมรับความคิดเห็นของเราง่ายขึ้น โต้แย้งน้อยลง และมีความคิดเห็นคล้อยตามเรา”.มิสแซฟไฟร์