ฤดูแล้งผ่านพ้นไปและเข้าสู่ฤดูฝน กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2565 คาดการณ์ว่า จะมีพายุเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยจำนวน 2 ลูก และมีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในช่วงเดือนสิงหาคมหรือกันยายนส่วนปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่จะใกล้เคียงถึงสูงกว่าค่าปกติประมาณ 3% อย่างไรก็ตาม ประมาณกลางเดือนมิถุนายน-กลางเดือนกรกฎาคมอาจจะเกิดฝนทิ้งช่วง การบริหารจัดการน้ำในฤดูปีนี้ จะประสบผล สำเร็จเหมือนฤดูแล้งที่ผ่านมาหรือไม่...ที่ทำให้ไม่มีพื้นที่ใดถูกประกาศให้เป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ที่สำคัญการปลูกพืชฤดูแล้ง โดยเฉพาะข้าวนาปรัง แม้จะมีการปลูกมากถึง 8.11 ล้านไร่ จากแผนที่วางไว้แค่ 6.41 ล้านไร่ แต่ผลผลิตไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย“การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปีนี้ กรมชล ประทานได้นำข้อมูลการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยม วิทยามาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำพร้อมทั้งได้จัดทำแผนปฏิบัติการตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด โดยได้ดำเนินการกำหนดวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก พื้นที่เกษตรและพื้นที่ชุมชนที่เสี่ยงน้ำท่วม ควบคุมปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์บริหารจัดการน้ำของอ่าง ควบคุมปริมาณน้ำในลำน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ กำหนดผู้รับผิดชอบในพื้นที่ต่างๆที่อาจจะได้รับผลกระทบ โดยประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่”สำหรับพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจนั้น นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน บอกว่า กรมชลประทานได้ปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ำใหม่ให้เหมาะสม เพื่อลดความเสียหายจากน้ำท่วม...โดยให้ทำนาเร็วขึ้น 1 เดือน เพื่อให้เก็บเกี่ยวในช่วง 1–15 ก.ย.ก่อนที่น้ำเหนือจะหลากลงมา นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้จัดสรรทรัพยากรทั้งเครื่องมือ เครื่องจักร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสูบน้ำจำนวน 2,079 เครื่อง รถบรรทุกน้ำ 351 คัน และเครื่องจักรกลสนับสนุนอื่นๆอีก 2,952 หน่วย รวมทั้งสิ้น 5,382 หน่วย กระจายไปในแต่ละพื้นที่ต่างๆอย่างเพียงพอและพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดเสี่ยงภัยน้ำท่วม รวมทั้งยังได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน และการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ“ส่วนแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกฤดูฝนปี 2565 นั้น คาดว่าในช่วงฤดูฝนจะมีความ ต้องการใช้น้ำทั้งประเทศประมาณ 31,755 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็นการใช้น้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค 2,329 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 7% ใช้เพื่อรักษาระบบนิเวศ 6,850 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 25% ใช้เพื่อการเกษตร 22,068 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 69% และใช้เพื่อการอุตสาหกรรม 508 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2%” โดยได้วางแผนการปลูกพืชในฤดูฝนทั้งสิ้น 27.63 ล้านไร่ เต็มพื้นที่การเกษตรในเขตชลประทาน ทั้งนี้ จะส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก ใช้น้ำชลประทานเสริมกรณีฝนทิ้งช่วงหรือปริมาณฝนตกน้อยกว่าที่คาดการณ์เท่านั้นคาดว่าหลังจากสิ้นฤดูฝนอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่งทั่วประเทศ จะมีปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อจัดสรรในช่วงฤดูแล้งปี 2565/66 ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 รวมกันประมาณ 59,261 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 84% ของปริมาณการกักเก็บ โดยเป็นปริมาณน้ำที่ใช้การได้ 35,718 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 75% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปี 2564 ประมาณ 5,261 ล้าน ลบ.ม.“กรมชลประทานจะควบคุมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปีนี้ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่จะเพียงพอใช้ในทุกกิจกรรมการใช้น้ำ และเพียงพอสำหรับจัดสรรให้กับพื้นที่การเกษตรกรณีเกิดฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2565 ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน” นายประพิศ กล่าวทิ้งท้าย. ชาติชาย ศิริพัฒน์