จ.สมุทรปราการ เป็นพื้นที่ราบต่ำจึงมักมีปัญหาเมื่อฝนตกหนักจนระบายน้ำไม่ทัน ทำให้ปี 2559 เกิดน้ำท่วมใหญ่รุนแรงในนิคมอุตสาหกรรมบางปู...สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากคลองลำสลัดใกล้เคียงมีการบุกรุก ทำให้ปากคลองที่เคยกว้าง 5 เมตร เหลือเพียง 2 เมตร เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ กระทั่งปี 2564 ประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่อีกครั้งในบริเวณพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ของนิคมฯ จนมีปริมาณน้ำในพื้นที่มากถึง 2 ล้าน ลบ.ม. คูคลองโดยรอบมีน้ำเต็มทุกคูคลอง จึงทำให้เกิดน้ำหลากเข้ามาในพื้นที่บริเวณนิคมฯ อีกทั้งเป็นช่วงที่เกิดน้ำทะเลหนุนสูง จึงเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำลงสู่ทะเล“พื้นที่นิคมฯบางปูมีมากถึง 5,039 ไร่ ถือเป็นหัวใจทางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการถึง 370 โรงงาน อยู่ในเขตอุตสาหกรรม มีผู้ใช้แรงงานกว่า 58,000 คน มีเงินลงทุนประมาณ 203,595 ล้านบาท และมูลค่าการส่งออกประมาณ 49,590 ล้านบาท เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนอีกต่อไป ภาครัฐจึงออกมาตรการ 13 มาตรการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับจังหวัด/ท้องถิ่นเตรียมความพร้อมบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนให้เร็วยิ่งขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อาทิ การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก ปรับปรุง แก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา เป็นต้น” ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายภาคในพื้นที่ภาคกลาง บอกถึงมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางปู...การเกิดน้ำท่วมหนักบ่อยครั้งในพื้นที่นิคมฯบางปูและพื้นที่รอบนอกเกิดจากปัจจัยหลักๆ 6 ด้าน คือ 1.เกิดฝนตกหนักในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 2.เกิดจากการระบายน้ำในบริเวณลำคลองใกล้เคียงมีปัญหาตื้นเขิน 3.น้ำทะเลหนุนทำให้การระบายน้ำลงทะเลล่าช้า 4.สิ่งก่อสร้างรุกล้ำทางระบายน้ำ 5.การถมพื้นที่คลองเพื่อการก่อสร้างขยายถนน และชุมชนมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น และ 6.การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รอบบริเวณนิคมฯ สำหรับแนวทางแก้ปัญหาในขณะนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิ ภาพการระบายน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจ และนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำให้เร็ว รวมทั้งเร่งรัดแผนงานโครงการต่างๆให้สามารถดำเนินการโดยเร็ว ทั้งการตัดยอดน้ำจากพื้นที่ตอนบนเบนไปทิศทางอื่น ไม่ให้ปริมาณน้ำมากระทบกับพื้นที่เศรษฐกิจด้านล่าง การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำสู่คลองระบายน้ำสุวรรณภูมิและอ่าวไทย โดยเฉพาะพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ถือว่าเป็นจุดเสี่ยง เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ การแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ การวางระบบท่อลอดใต้ถนน เขื่อนป้องกันตลิ่ง การขุดลอกคลอง เป็นต้น นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน อธิบายเพิ่มเติม...การแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วน ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งดำเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องสูบน้ำทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะมาเร็วขึ้น ส่วนระยะกลางและระยะยาวมีแผนปรับปรุงคลอง 7 สาย ตามแผนหลักการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้แก่ คลองพระองค์ไชยานุชิต คลองปีกกา คลองสำโรง คลองด่าน คลองประเวศน์บุรีรมย์ คลองอุดมชลขจร และคลองชวดพร้าว-เล้าหมู-บางพลีน้อยนอกจากนี้ กรมชลประทานยังมีแผนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง บริเวณสะพานน้ำยกระดับสถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิผ่านโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชลหารพิจิตร มีการขุดลอกคลองเพื่อเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำของคลองต่างๆ เพื่อเพิ่มความจุของบ่อหน่วงน้ำ เพิ่มกำลังการสูบน้ำของสถานีสูบน้ำเดิม สร้างสถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำเพิ่มเติม เพื่อช่วยเร่งระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย รวมทั้งพัฒนาระบบพยากรณ์ฝนและน้ำท่วมเพื่อให้หน่วยงานต่างๆติดตามสถานการณ์ล่วงหน้า และใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำท่วมแบบบูรณาการร่วมกัน เช่น เตรียมพร่องน้ำในคลองต่างๆ ส่วนแผนบริหารจัดการน้ำหรือแผนเผชิญเหตุ กรณีปริมาณน้ำฝนและน้ำเหนือไหลมาสมทบมากจนมีระดับความสูงกว่าระดับเฝ้าระวัง จะพร่องน้ำในคลองชายทะเล โดยสถานีสูบน้ำต่างๆ ซึ่งเป็นแก้มลิงออกสู่ทะเล ควบคุมให้อยู่ในระดับ 0.00 ม.รทก. มีตามแนวคันพระราชดำริจะควบคุมอาคารชลประทาน ไม่ให้น้ำหลากเข้าไปในกรุงเทพมหานคร (พื้นที่ชั้นใน) ส่วนกรณีคลองแสนแสบ คลองประเวศน์บุรีรมย์ และคลองสำโรง มีระดับน้ำสูงกว่าระดับเฝ้าระวัง จะประสานกับสำนักระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อระบายน้ำผ่านแนวคันพระราชดำริออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งได้เตรียมแผนพร่องน้ำในลำคลองต่างๆลงในช่วงที่คาดว่าจะเกิดฝนตกหนักขึ้น เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอรับน้ำเพื่อระบายลงสู่ทะเล.กรวัฒน์ วีนิล