ในทุกๆวันขอจงมีชีวิตอยู่ด้วย “ความไม่ประมาท” ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้แล้วว่า “ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย”พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม.บอกว่า มนุษย์เราย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยการกิน กาม เกียรติ ทุกชีวิตย่อมมีการกินเรียกให้สุภาพก็ว่า “บริโภค” พระมหาสมัย จินฺตโฆสโกกินมีอยู่สองชนิดคือ “กินทางกาย” กับ “กินทางใจ” กินทางกายก็คือบริโภคข้าวปลาอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงชีวิตให้เจริญเติบโตขึ้นมา กินสิ่งของที่เป็นเนื้อหรือของแข็งเรียก “เคี้ยวกิน” แต่กินสิ่งของที่เป็นของเหลวเรียกว่า “ดื่มกิน” เช่น ดื่มน้ำ ดื่มนม ดื่มน้ำชากาแฟ เป็นต้น“กินทางใจ” คือกินรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เมื่อกินไปแล้วสิ่งของที่เข้าไปในร่างกายนั้น ถ้ามีปริมาณพอดีกับความต้องการและความจำเป็นก็จะก่อให้เกิดประโยชน์เป็นที่สุด แต่ถ้ากินเข้าไปมากจนเกินความจำเป็นและความต้องการของร่างกายแล้วก็จะกลายเป็น “โทษ” เช่น ทำให้อ้วน ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษทำให้ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายไม่ทำงานหรือไม่สามารถทำงานได้ครบวงจร จนกลายเป็นการเจ็บไข้ได้ป่วยไปในที่สุด ดังนั้นการกินที่มีปริมาณพอดีเท่านั้นจึงจะเกิดแต่ประโยชน์“กาม” คือ “ความใคร่”...ความใคร่ในทางเมถุนมีมากมาย เช่น กามกิจ กามคุณ กามตัณหา กามเทพ กามราคะ กามวิตถาร เป็นต้น ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนมีกามด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราใช้กามให้เป็นประโยชน์ก็ย่อมจะมีคุณค่าอเนกอนันต์ แต่ถ้าใช้กามที่ไม่เป็นประโยชน์หรือหมกมุ่นอยู่ในกามก็จะเกิดโทษอย่างมหันต์ เช่นเดียวกัน ในกรณีที่เกิดกามในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ย่อมเป็นความต้องการของทุกชีวิต ทว่า...ใครต้องการมากหรือต้องการน้อยแตกต่างกันเท่านั้น ถ้ามีกามราคะมากก็จะมีทุกข์มาก ถ้ามีกามราคะน้อยก็จะมีทุกข์น้อย คนเราจึงดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะ “กาม” แท้ๆ“เกียรติ” คือ “ชื่อเสียง” การยกย่องนับถือ การมีหน้ามีตาในสังคม เกียรติที่ได้รับมาแล้วเกิดประโยชน์เรียกว่า “เกียรติคุณ” เกียรติที่ได้มาจากความรู้ดีเด่นหรือเหนือปกติก็เรียกว่า “เกียรตินิยม” เกียรติที่มีความดีมาโดยตลอดในชีวิตก็เรียกว่า “เกียรติประวัติ” เกียรติที่มีฐานะตำแหน่งหน้าที่การงานหรือมีชาติชั้นวรรณะก็เรียกว่า “เกียรติยศ” หรือเกียรติที่เกิดขึ้นหลายๆ กรณีที่มิได้กล่าวตรงนี้ก็มีอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้เองเป็นจุดโน้มน้าวให้มนุษย์เราเสาะแสวงหาให้ได้มีซึ่ง “เกียรติ” ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อที่จะให้ตนเองมีชีวิตอยู่ในครอบครัวในสังคมอย่างสง่างามที่เรียกว่า “มีชีวิตอย่างมีเกียรติ” นั่นเอง“กิน กาม เกียรติ” เรียกตามประสาชาวบ้านให้ครบถ้วนด้วยภาษาง่ายๆ ก็คือ “กิน ขี้ บี้ นอน”...ซึ่งเป็นธรรมดาและธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉานก็มีเช่นเดียวกัน แต่...“มนุษย์” จะแตกต่างจากสัตว์ดิรัจฉานอยู่ที่มีความละอาย มีประเพณีและวัฒนธรรม มีกติกา...มารยาททางสังคม “มีศาสนาที่ตนเองเคารพนับถืออยู่ในดวงใจ มีศาสดาของศาสนาเป็นของตนเอง มีทำนองคลองธรรมที่ดีงามมาจากบรรพชน มีพิธีกรรมตามความเชื่อถือและมีกฎหมายเป็นข้อยึดถือปฏิบัติกันอยู่”ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกินชนิดใดก็ตาม การบริโภคกามประเภทใดก็ตาม การใช้เกียรติในลักษณะใดก็ตาม ถ้าอยู่ในกรอบกติกาที่ดีงามของความเป็นมนุษย์แล้วก็มักไม่เกิดปัญหา แต่ถ้ามนุษย์มีความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมาครั้งคราใดแล้ว คิด พูด ทำอะไรลงไปในที่สุดก็ต้องเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างแน่นอนทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้ “กิน กาม เกียรติ” ครอบงำตัวเรา ขอให้เราเป็นผู้ครอบงำกิน กาม เกียรติ ให้ได้ แล้วประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็จะติดตามมาเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีโทษติดตามมาเลย“ครอบครัว” คือหัวใจอันสำคัญยิ่งของสังคม ถ้าหากครอบครัวพอกพูนและเต็มเปี่ยมไปด้วยสมาชิกอันประกอบไปด้วยบิดา มารดา บุตร ธิดาหรือญาติพี่น้องก็ถือว่าองค์ประกอบในครอบครัวนั้นสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเล็กหรือใหญ่ สมาชิกจะมีมากหรือมีน้อยไม่สำคัญ ทั้งผู้ให้กำเนิดหรือทายาทต่างมีชีวิตอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน มีความรักความอบอุ่นในครอบครัว ปราศจากความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น อาจจะมีบ้างก็เหมือนลิ้นกับฟันที่อาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเล็กๆน้อยๆ เพราะอยู่ใกล้กันหรืออยู่ติดกัน ผู้นำของครอบครัวใส่ใจดิ้นรนหารายได้นำมาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว คนที่อยู่ในครอบครัวก็ดูแลภายในบ้านให้เป็นไปตามปกติ ส่วนสมาชิกของครอบครัวก็ประพฤติตนเป็นคนดีไม่สร้างความเดือดร้อน....หรือ...ความเสื่อมเสียมาให้กับสมาชิกในครอบครัว ถ้าเป็นไปได้เช่นนั้นก็จะกลายเป็นครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สามารถกลายเป็น “แบบอย่างที่ดี” ให้กับครอบครัวอื่นๆได้หากแต่ในทางตรงกันข้าม...ถ้าภายในครอบครัวเต็มไปด้วยความขัดแย้ง รักร้าว หาจุดยืนของครอบครัวไม่ได้ ขาดความรักความอบอุ่น ไม่ว่าจะยากดีมีจน สุดท้ายก็แตกร้าวไปในที่สุดจนเรียกว่า “ครอบครัวแตกแยก” ...ผู้ที่ตกอยู่ในสถานะเช่นนั้นจึงไม่ผิดกับคำว่า “ตกนรก” ทั้งเป็นพระมหาสมัย บอกอีกว่า เมื่อครอบครัวเกิดล่มสลายไปแล้วก็มิได้หมายความว่าแต่ละชีวิตที่แพแตกจะล้มหายตายจากไปหรือไม่มีอะไรเห็นเป็นชิ้นดี หลายชีวิตมีความเพียรพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอดและอยู่ได้จนประสบความสำเร็จในชีวิตก็มีให้เห็นมาแล้วมากมายเช่นเดียวกัน “ครอบครัว” อันประกอบไปด้วยบิดา มารดา บุตร...ธิดา จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง ทุกชีวิตต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงกลายเป็น “หน้าที่” ของแต่ละคนที่จะพึงปฏิบัติต่อกัน บิดามารดาจึงควรดูแลบุตร ธิดาของตนเองด้วยธรรมะ 4 ประการคือ หนึ่ง...แนะนำพร่ำสอน มิให้บุตร ธิดาของตนเองกระทำความชั่วทั้งปวงสอง...สอนให้บุตร ธิดา ตั้งตนอยู่ในความดี คิดก็ดี พูดก็ดี ทำก็ดี รวมถึงประพฤติปฏิบัติตนให้เป็น “ตัวอย่างที่ดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง” ทำให้สมาชิกในครอบครัวพบเห็นได้ทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติสาม... ส่งบุตร ธิดาของตนเอง เข้าเรียนหนังสือรับการศึกษาเล่าเรียนตามสมควรแก่วัยตามสถานะทางครอบครัวของตนเองเท่าที่จะทำได้ เพราะการศึกษานี่เองจะเป็นวิชาประจำตัวให้พวกเขาได้นำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพต่อไปในระยะยาว สี่...หาสามีหรือภรรยา ให้ตามสมควรแก่วัยห้า...มอบทรัพย์มรดก ให้ตามเหตุสมควรแก่วัยและกาลเวลา เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ตลอดไป ส่วนสมาชิกในครอบครัว บุตร ธิดาก็ควรทำหน้าที่ของตนเองให้บริบูรณ์ที่สุดด้วยธรรมะ 4 ประการ คือ...หนึ่ง...เมื่อท่านเลี้ยงเรามาแล้ว ก็ขอให้เลี้ยงท่านตอบแทน ดังคำว่า “พ่อแม่แก่เฒ่า เราต้องดูแล เมื่อท่านไม่แก่ ท่านดูแลเรา” สอง...ช่วยเหลือกิจการงาน เท่าที่จะพอช่วยเหลือท่านได้ตามวัย เวลา สาม...ประพฤติตนดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูลของตนเอง มิให้เสื่อมเสียหรือตกต่ำลงไป ให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น สี่...กระทำตนให้เป็นบุตร ธิดาที่สมควรได้รับทรัพย์มรดก ห้า...เมื่อบิดาหรือมารดาล่วงลับไปแล้วก็ควรทำบุญให้ท่านอุทิศส่วนบุญกุศลให้ท่านตามกำลัง ความสามารถของตนเองความรักความอบอุ่นภายในครอบครัวนับว่าเป็น “สุดยอดแห่งความปรารถนาของบุคคลในครอบครัวนั้นๆ” ขอให้ทุกท่านได้มีสติตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ไม่เห็นแก่อำนาจกิน กาม เกียรติหรือสมบัติที่ตนเองจะกอบโกยมาได้ “เจ็บ ตาย จ่าย จบ” ก็ได้กลายเป็นบทเรียนอันมีคุณค่า...เป็นอุทาหรณ์สอนใจมากแล้วทางที่ดีขอให้ “เดินสายกลาง” กันเถิด...ตายไปแล้วก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้ จะเหลือเพียง “ความดีหรือความชั่ว” เท่านั้นที่เป็น “อนุสรณ์” ให้อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกนึกถึง.