ต้องถือเป็นบทเรียนราคาแพง สำหรับนักการเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยืนยันตามคำพิพากษาเดิม ให้จำคุกนายวัฒนา เมืองสุข เป็นเวลา 99 ปี พร้อมกับจำเลยอื่นอีก ถูกจำคุกตั้งแต่ 22 ปี ถึง 66 ปี ถูกริบทรัพย์ 82 ล้านบาท และยกฟ้อง 5 คนเป็นคำพิพากษาที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร” เป็นโครงการก่อสร้างบ้านราคาถูก มูลค่า 2.5 พันล้านบาท ให้ประชาชนทั่วประเทศเช่าซื้อ ในขณะที่นายวัฒนาเป็นรัฐมนตรีว่าการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้กำกับดูแลการเคหะแห่ง ชาติ รับผิดชอบโครงการศาลเคยพิพากษาครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2563 ให้จำคุกนายวัฒนา 99 ปี เช่นเดียวกัน แต่กฎหมายให้จำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี นายวัฒนากับพวกยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลพิพากษายืนยันตามเดิม เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา และถูกเจ้าหน้าที่นำส่งเรือนจำทันที ในความผิดเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่ง เรียกรับสินบนโดยมิชอบนักการเมืองไทยที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง และถูกจำคุกนานหลายปี อาจแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ๆ 2 ประเภท กลุ่มแรกเป็นแกนนำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล และนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรง มีทั้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ส่วนประเภทที่สอง ต้องคดีทุจริตต่อหน้าที่ ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบคดีทุจริตของนักการเมือง พิพากษา ไปแล้วหลายคดี มีทั้งจำคุกอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี แต่ยังรอการพิจารณาพิพากษาอีกหลายคดี นักการเมืองไทยมักจะไม่เชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” คำสอนของพระพุทธศาสนาที่ระบุว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งยังไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะมีอำนาจเสียอย่างนักการเมืองบางยุคประกาศ องค์กรอิสระของเรา กฎหมายก็อยู่ในมือเรา เชื่อว่าสามารถใช้อำนาจแทรกแซงองค์กรต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรบริหาร และอำนาจตุลาการ แต่จากการพิพากษาของศาลฎีกาที่ผ่านๆมา รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับนักการเมือง เห็นได้ชัดว่าศาลเป็นอิสระยิ่งกว่านั้น ในระยะหลังๆยังมีการแก้กฎหมายทุจริตหลายประเด็น ที่ทำให้กระบวนการใช้บังคับกฎหมายเข้มแข็งยิ่งขึ้น เช่น แก้ไขให้คดีการทุจริตไม่มีอายุความ ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่มั่งคั่ง ไม่สามารถหนีคดีในต่างประเทศจนหมด อายุ จึงกลับประเทศ จะทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะกลับมาเมื่อไหร่ก็ติดคุก หรือถูกดำเนินคดี.