การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) วิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มยางพารา ปี 2565 มีผลผลิตยางประมาณ 4.905 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.82%โดยในช่วงไตรมาสแรก คาดว่าจะมีผลผลิตประมาณ 1.186 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6.35% เดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคมคาดมีผลผลิตประมาณ 0.387 ล้านตัน และ 0.142 ล้านตัน ตามลำดับด้านปริมาณการส่งออกยาง ปี 2565 มีประมาณ 4.218 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.03%โดยในไตรมาสแรกจะมีการส่งออกยางประมาณ 1.107 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.29% ในขณะที่สต๊อกยางมีแนวโน้มลดลง รวมถึงสต๊อกชินเต่าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้การส่งออกเพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้ยางยังคงขยายตัว เห็นได้จากดัชนี PMI ดัชนีชี้นำ GDP ประเทศสหรัฐฯ ญี่ปุ่น EU ยังคงขยายตัวอยู่เหนือระดับ 50 ส่วนประเทศจีนถึงจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 แต่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ประกอบกับอุตสาหกรรมยางล้อเพิ่มการผลิตสูงขึ้นยอดขายรถยนต์ในปี 2564 มี 77.747 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 4.6% โดยเฉพาะจีนยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 4.3%ด้านสมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ANRPC) คาดว่าการผลิตยางทั้งโลกประมาณ 14.554 ล้านตัน และปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 14.398-14.822 ล้านตัน ภายใต้สมมติฐานว่าการใช้จะขยายตัว 2-5%สรุปได้ว่าในปี 2565 การผลิตจะน้อยกว่าปริมาณความต้องการใช้ยางและปัจจัยที่สนับสนุนการใช้ยางพาราในปีนี้ ได้แก่ ฤดูกาลและสภาพอากาศ การแพร่ระบาดของโควิดทำให้มีความต้องการใช้ถุงมือยางและชุด PPE มากขึ้น กระแสลดโลกร้อนทำให้มีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการยางล้อก็เพิ่มขึ้นด้วย และประเทศญี่ปุ่นมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางพาราในปริมาณเพิ่มมากขึ้น เช่น ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง สายยางส่วนความท้าทายที่เป็นอุปสรรคต่อปริมาณการใช้ยาง ได้แก่ การขาดแคลนชิป Semiconductor ส่งผลต่อปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ต้นทุนการขนส่งที่แพงขึ้น การเคลียร์สินค้าช้ากว่าปกติ ส่งผลต่อ Supply Chain.สะ–เล–เต