บางทีชาติมหาอำนาจทั้งหลายนั้นก็ไม่ต่างกับพ่อค้าอาวุธรายใหญ่ที่รอจังหวะให้สถานการณ์ความมั่นคงเกิดความตึงเครียด จะได้ขายอาวุธสงครามด้วยความ “ชอบธรรม”เพราะล่าสุดรัฐบาล “สหรัฐอเมริกา” ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้วว่าจากกรณีสถานการณ์คุกรุ่นในยุโรปตะวันออกและยูเครนที่รัสเซียอาจทำการรุกรานได้ทุกเมื่อ จึงทำให้ตัดสินใจที่จะขายยุทโธปกรณ์ลอตใหญ่แก่ประเทศ “โปแลนด์” ซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนตะวันตกเฉียงเหนือของยูเครนโดยการขายยุทโธปกรณ์ครั้งนี้มีการเจรจากันมาสักพักใหญ่ ภายใต้โครงการ FMS ขายอาวุธให้รัฐบาลต่างชาติ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 192,000 ล้านบาท เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถของกองทัพโปแลนด์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้นสิ่งที่สหรัฐฯจะขายให้โปแลนด์ ประกอบไปด้วย รถถังประจัญบาน เอ็ม 1 เอ 2 “เอบรัมส์” รุ่นอัปเกรด จำนวน 250 คัน รถกู้ซากรถถัง 26 คัน รถวางสะพานข้ามแม่น้ำ 17 คัน ไปจนถึงอุปกรณ์เสริม ปืนกลขนาด .50 จำนวน 276 กระบอก ปืนกลเอ็ม 240 ซี 500 กระบอก กระสุนปืนรถถังขนาด 120 มม. สำหรับฝึกซ้อม 13,760 นัด กระสุนหัวระเบิด 120 มม.สำหรับต่อต้านรถถัง 13,920 นัด กระสุน 120 มม.ระเบิดแรงสูง 6,960 นัด และของยิบย่อยอื่นๆตลอดที่ผ่านมา รถถังหลักของกองทัพโปแลนด์คือ “ที-72” จากค่ายรัสเซีย ทั้งเมื่อเดือน ก.ค. 2564 โปแลนด์ก็มีความสนใจที่จะซื้อรถถังรัสเซียรุ่นใหม่ “ที-14 อาร์มาตา” แต่การซื้ออาวุธจากสหรัฐฯครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า โปแลนด์ดูเหมือนจะเอียงไปทางตะวันตกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้กองทัพโปแลนด์ครอบครองรถถังจากค่ายเยอรมนีคือ “เลียวปาร์ด 2 เอ 4” และ 2 เอ 5 จำนวน 250 คันนี่ยังไม่รวมถึงข้อตกลงที่โปแลนด์ดีลไว้กับสหรัฐฯ เมื่อปี 2562 สนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องบินรบพรางเรดาร์สมรรถนะสูงรุ่น “เอฟ-35” จำนวน 32 ลำ ภายใต้งบประมาณ 6,500 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 208,000 ล้านบาท ไปจนถึงระบบรถยิงจรวดจากสหรัฐฯด้วยเช่นกันสุดท้ายแล้ว สถานการณ์เขม็งเกลียวที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนั้น ก็เป็นกลไกการปั่นอุปสงค์-อุปทาน ซัพพลายดีมานด์ ไม่ต่างอะไรกับบริษัทเอกชนหรือเปล่า!?ตุ๊ ปากเกร็ด