กว่า 30 ปีมาแล้ว ขณะผมเดินทางไปสำรวจภาวะความยากจนในชนบทต่างๆของภาคอีสาน มีโอกาสผ่านวัดเล็กๆวัดหนึ่ง จำไม่ได้เสียแล้วว่าอยู่ที่จังหวัดไหน อำเภอไหน ตำบลไหน?จำได้แต่ว่าเราออกมาจากหมู่บ้านที่ค่อนข้างลึก แล้วมีใครบางคนอยากเข้าห้องนํ้า ก็พอดีผ่านวัดนี้ที่อยู่ริมถนนลาดยางจะเข้าสู่ตัวเมือง เห็นสะอาดสะอ้านดีก็เลยจอดรถไปขอหลวงพี่รูปหนึ่งที่ยืนกวาดลานวัดอยู่ไม่ไกลนักเพื่อขอใช้บริการระหว่างเดินไปห้องนํ้าจะต้องผ่านต้นไม้หลายต้น...ซึ่งแต่ละต้นก็จะมีการเขียนคำสอนและคำคมที่ดัดแปลงมาจากคำสอนของพระพุทธองค์ บนกระดานไม้แผ่นเล็กๆตอกตะปูไว้ที่ต้นไม้ต่างๆมีอยู่ป้ายหนึ่งเขียนในทำนองว่า “มนุษย์ก็คือสัตว์ประเภทหนึ่ง แม้ประเสริฐแค่ไหนก็ไม่ทิ้งนิสัยสัตว์ ต้องหมั่นขัดเกลาและอบรม”ผมอ่านแล้วก็จำความไว้...และเคยหยิบมาใช้บ้างในการเขียนหนังสือหรือไม่ก็ไปพูดจาปราศรัยในเรื่องอะไรก็ไม่ทราบอยู่ 2-3 ครั้ง ในยุคที่ยังมีคนเชิญไปอภิปรายตามเวทีต่างๆเหตุที่ผมนึกถึงภาษิตจากโคนต้นไม้ในวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งป่านนี้แผ่นกระดานที่ใช้เขียนคงผุพังไปหมดแล้ว...ก็ด้วยเหตุการณ์ทั้งของบ้านเรา และของโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั่นแหละครับที่พระท่านเขียนไว้ท่อนแรกเป๊ะเลยครับว่า มนุษย์เรานั้นก็คือสัตว์ประเภทหนึ่ง ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ก็ยากที่จะทิ้งนิสัยสัตว์ไปได้ พอเผลอๆเข้า...ความเป็นสัตว์ก็มักจะกลับมานิสัยสัตว์คืออะไร บนแผ่นป้ายมิได้วงเล็บไว้ แต่ก็เป็นที่เข้าใจเป็นอย่างดีว่า...นิสัยสัตว์ก็คือชอบไล่ล่ากัน...ข่มเหงกัน...สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก สัตว์ดุร้ายเขี้ยวเล็บแข็งกว่ามักไล่ล่าสัตว์ที่อ่อนแอ และหากเป็นสัตว์ศักดิ์ศรีทัดเทียมกันก็มักจะชอบ “กัดกัน” และสู้กันให้แพ้ชนะไปข้างด้วยเหตุนี้สุภาษิตในแผ่นป้ายที่ว่าจึงชี้แนะให้หมั่นขัดเกลาและอบรม “มนุษย์” ซึ่งแม้จะเป็น “สัตว์ประเสริฐ” กว่าทุกสัตว์ แต่ก็อาจ จะเผลอไผลจนลืมความประเสริฐต่างๆลงได้...ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นเสมอๆแม้ในแผ่นป้ายจะไม่ระบุไว้ แต่ผมก็ตีความเมื่อตอนอ่านเจอตอนแรกว่า “การขัดเกลา” ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้มนุษย์ลดละนิสัยสัตว์ลงได้ก็คือ ธรรมะบทต่างๆที่พระพุทธองค์สอนไว้นั่นเอง“นิสัยสัตว์” ที่ชอบไล่ล่ากัน ข่มเหงกัน หรือกัดกัน ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับคนไทยเรามากเป็นพิเศษในช่วง 3-4 ปีมานี้ผมเคยบ่นว่าคนไทยเราดุร้ายมากขึ้น ไม่ค่อยยิ้ม ขาดแคลนอารมณ์ขัน...แต่ก็มีผู้อ่านส่งจดหมายมาประท้วงว่าไม่จริง พร้อมกับส่งตัวอย่างอารมณ์ขันจากโซเชียลต่างๆมาให้ผมอ่านมากมายผมก็ดีใจไปพักใหญ่เมื่อรู้ว่าคนไทยเรายังเป็นมนุษย์อยู่...เพราะมนุษย์เท่านั้นที่ยิ้มได้ หัวเราะได้ มีอารมณ์ขันได้เรื่องสัตว์ประเสริฐแบบไทยๆ เอาไว้ว่ากันวันหลังนะครับ เพราะอยากจะพูดถึงสัตว์ประเสริฐระดับมหาอำนาจของโลกเสียมากกว่าในวันนี้ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับช่วงบ่ายๆ วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ ท่านประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ แถลงว่า ท่าน “เชื่อแน่” ประธานาธิบดีปูตินได้ “ตัดสินใจแล้ว” ที่จะบุกยูเครนในอีกไม่กี่วันข้างหน้าท่านอ้างว่ามีสัญญาณเตือนที่แจ้งชัดมากจากการอพยพของชาวยูเครนเชื้อสายรัสเซียที่ยูเครนตะวันออก หรือที่เมือง โดเนตสก์ กับเมืองลูกานสด์ ให้กลับเข้าไปในดินแดนรัสเซียจำนวนมากถ้าบุกเข้ามาจริงๆก็คงจะต้องเจอการตอบโต้แน่ๆ...ท่านไบเดนพูดขู่ไว้ผ่านสื่อต่างๆหากเราย้อนดูประวัติศาสตร์โลก ก็จะพบว่าประเทศมหาอำนาจทั้งหลายมักไม่ทิ้งนิสัยสัตว์สักเท่าไรนัก...เผอิญว่าเป็นประเทศใหญ่จึงเหมือนกับเป็นสัตว์ใหญ่ มีพละกำลังเยอะ ระดับราชสีห์ หรือสิงโต หรือพญาเสือ ฯลฯ ทำนองนั้นเวลาสู้กันจึงดูสง่างาม ส่งเสียงก้องกัมปนาท ไม่มีเสียงง่องแง่งเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ หรือประเทศเล็กๆแต่ทุกครั้งการต่อสู้ก็จะจบด้วยการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของทั้งพญาสิงโต หรือพญาเสือเอง รวมทั้งสัตว์ที่เป็นบริวารอีกมากการที่สัตว์ใหญ่ทั้งหลายจะลืมความเป็น “สัตว์ประเสริฐ” ไปเสียอย่างนี้ ใครจะไปอบรมหรือขัดเกลาอุปนิสัยพวกเขาได้ล่ะครับนอกเสียจากจะสวดมนต์ภาวนาขอให้สัตว์ใหญ่ทั้งหลายจงกลับคืนสู่ความเป็นสัตว์ประเสริฐ เลิกทะเลาะกัน หรือเลิกต่อสู้กันโดยเร็วสัตว์ที่อ่อนแอตัวเล็กๆอย่างพวกเรา คงจะทำได้เพียงเท่านี้ละครับ.“ซูม”