นับแต่ “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” ระบาดในจีนตั้งแต่ปี 2561 ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อการบริโภคเนื้อหมูในประเทศ หมูกว่าล้านตัวต้องถูกฆ่า ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเนื้อหมูทั่วโลก ขณะที่ ราคาเนื้อหมูในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 52% แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ เพราะนอกจากจะเปิดทางให้ผู้ผลิตเนื้อสัตว์ทั่วโลกส่งออกเนื้อสัตว์ไปยังจีนแล้ว การขาดแคลนเนื้อหมูยังเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมโอกาสการเติบโตของธุรกิจการผลิตเนื้อสัตว์หรือโปรตีนทางเลือกอื่นๆ เพื่อเสริมอุปทานภายในประเทศอีกด้วยบริษัทสตาร์ตอัพสัญชาติจีนจากเซี่ยงไฮ้ “CellX” เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่กระโดดเข้าสู่สังเวียนเนื้อสัตว์ทางเลือกในจีน โดยเปิดตัวเมนูเนื้อหมูสังเคราะห์ ที่ผลิตจากเซลล์หมูดำพื้นเมืองของจีนเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยบริษัทตั้งเป้าผลิตเนื้อสัตว์ด้วยกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการปศุสัตว์แบบดั้งเดิมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนซึ่งบริโภคเนื้อสัตว์มากถึง 86 ล้านตันในปี 2563 หรือราว 30% ของอุปสงค์ทั่วโลก ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ พร้อมยืนยันสามารถผลิตเพื่อการบริโภคจำนวนมากในประเทศได้ภายใน 4 ปีก่อนหน้านี้สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในโลกที่อนุญาตให้ขายเนื้อสัตว์สังเคราะห์อย่างเป็นทางการ เมื่อปลายปีก่อน โดยเริ่มต้นด้วยเนื้อไก่เพาะเลี้ยงจากห้องแล็บที่นำมาวางจำหน่ายในรูปของนักเก็ต ขณะที่แม้จะยังไม่มีกฎระเบียบอนุญาตให้ขายได้ในจีนก็ตาม แต่ก็มีบริษัทมากมายทั้งยักษ์ใหญ่ด้านอาหารระดับโลก บริษัทหน้าใหม่ รวมถึงสตาร์ตอัพจีนอีกหลายรายที่เข้าช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดอย่างเข้มข้น จนทำให้จีนกลายเป็นสมรภูมิสำคัญของบริษัทเนื้อสัตว์ทางเลือกที่ต้องการเจาะตลาดการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนอกจากจะเป็นอาหารทางเลือกแล้ว เนื้อสัตว์ที่เกิดจากการเพาะเนื้อเยื่อจากเซลล์สัตว์ในห้องแล็บยังเป็นอาหารที่มีความเสถียรมากกว่าเนื้อสัตว์ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ โลกต้องเผชิญการขาดแคลนและความผันผวนของการผลิตหลังการระบาดของโรคร้ายในหมู แม้ว่าต้นทุนการผลิตในตอนนี้อาจจะยังสูงกว่าอาหารตามธรรมชาติก็ตาม คงต้องรอดูว่าเมื่อมีการแข่งขันอย่างเปิดกว้างและเสรีแล้วจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคในอนาคตอย่างไร.อมรดา พงศ์อุทัย