ในปี พ.ศ.2501 โรเบิร์ต ฟิลลิปส์ ตัวแทนของบริษัทขุดเจาะที่ช่วยบูรณะสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ได้นำแกนทรงกระบอกหลังจากที่เจาะจากเสาหินที่เรียกว่า Stone 58 ของสโตนเฮนจ์ ต่อมาเมื่อเขาย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาก็นำแกนหินดังกล่าวไปด้วย แต่เนื่องจากสโตนเฮนจ์ได้รับการคุ้มครองสถานะ ชิ้นส่วนนั้นจึงได้ถูกส่งคืนกลับมาหลังผ่านไป 60 ปี ทำให้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไบรท์ตัน ในอังกฤษ เลยได้มีโอกาสวิเคราะห์ทางธรณีเคมีของเสาสโตนเฮนจ์ ทีมวิจัยพบว่าหินสูงตระหง่านของสโตนเฮนจ์ หรือหิน “ซาร์เซน” (Sarsen) ทำจากหินที่มีตะกอนซึ่งก่อตัวขึ้นเมื่อช่วงไดโนเสาร์เดินท่องโลก หลังจากตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกนที่หิน ใช้กล้องจุลทรรศน์ต่างๆ ส่องวิเคราะห์ตะกอนและเคมีของหิน นักวิจัยเผยว่าเม็ดทรายบางเม็ดที่ฝังอยู่ในหินดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยมหายุคมีโซโพรเทอโรโซอิก (Mesoproterozoic) ช่วงราวๆ 1,000 ล้านถึง 1,600 ล้านปีก่อน เมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ที่ชิ้นบางๆของหินซาร์เซนจาก Stone 58 ก็ชวนประหลาดใจที่พบว่าหินนั้นเป็นควอตซ์ถึง 99.7%นักวิจัยอธิบายเกี่ยวกับการยึดเกาะกันของควอตซ์ ว่าการจับตัวของเม็ดควอตซ์ขนาดละเอียดถึงปานกลางได้ก่อตัวเป็นผลึกหินประสานกัน ทำให้หินมีความทนทานมากขึ้น และนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้สร้างสโตนเฮนจ์จึงเลือกหินประเภทนี้สำหรับสร้างเป็นอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อน.