ข้อเท็จจริง...ทำไม? โรงงานบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ที่เพิ่งเกิดการระเบิดไฟไหม้จึงไม่จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และคณะกรรมการฯพิจารณาก่อนออกใบอนุญาต อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงงานหมิงตี้ฯ ได้ก่อตั้งก่อนที่จะมีกฎหมายเรื่องสิ่งแวดล้อมทำให้ไม่อยู่ในเกณฑ์ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และโรงงานนี้ได้มีการขอขยาย โรงงานเมื่อ พ.ศ.2560 ในพื้นที่เดิม แต่ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้นโดยมีกำลังผลิตสูงสุดเป็น 40,000 ตันต่อปี จากปี ’60 อยู่ที่ 36,000 ตันต่อปี...(กำลังการผลิตเกิน 100 ตันต่อวัน)ถัดมา...ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดโครงการ กิจการหรือการดำเนินการต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทุกฉบับที่ประกาศออกมาตั้งแต่ พ.ศ.2535 จนถึง 2562 กำหนดให้โครงการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานอีไอเอประเภทอุตสาหกรรม คือ...“อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีกระบวนการผลิตทางเคมี ที่มีกําลังการผลิตตั้งแต่ 100 ตันต่อวันขึ้นไป” อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย บอกว่า เนื่องจากโรงงานหมิงตี้ เคมีคอลฯ เป็นโรงงานที่ขออนุญาตผลิตเม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้น ถึงแม้จะมีกำลังการผลิตมากกว่า 100 ตันต่อวัน แต่ก็ไม่ได้เข้าข่ายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพียงแต่นำผลิตภัณฑ์จากโรงงานปิโตรเคมี เช่น Styrene Monomer มาเป็นวัตถุดิบในการผลิต โฟม หรือ พลาสติก Polystyrene และ EPS หรือ...Expandable Polystyrene เท่านั้นซึ่งจัดเป็นโรงงานประเภทเคมีตามทะเบียนโรงงาน จ3-48 (31)–1/40สป ดังนั้นการขออนุญาตก่อสร้างและเปิดดำเนินการจึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมเท่านั้น“เรื่องนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรเร่งให้ สผ.ปรับปรุงประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายงานอีไอเอ โดยกำหนดให้โรงงานประเภทเคมีที่มีสารเคมีอันตรายขนาดกำลังการผลิต...ตันต่อวัน ต้องจัดทำรายงานอีไอเอในขั้นต้นหรือขยายโครงการต่อไป เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติภัยร้ายแรงต่อไป” เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ แต่ป้องกันได้ด้วยมาตรการ ข้อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติที่รัดกุมรอบคอบ...ไม่หมกเม็ด ในเรื่องที่ใหญ่กว่า “เครือข่ายคนรักษ์นครนายกมรดกธรรมชาติ” ชวนย้อนไปยุคแรกเริ่มปี 2504 “ประเทศไทย” ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับคำว่า “นิวเคลียร์”...เริ่มตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยของประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักของ “เตาปฏิกรณ์ฯ” คือการใช้ประโยชน์จาก “นิวตรอน” ในหลายๆด้านเช่น ด้านการแพทย์ อุตสาหกรรม การเกษตรและการศึกษาวิจัยเมื่อมีนิวเคลียร์ ก็ต้องสร้างกฎหมายรองรับ พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ.2504 จึงถูกสร้างขึ้น ซึ่งในครั้งแรกมีเพียง 24 มาตรา โดยมีสำนักพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ชื่อเดิม) ดูแลเมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์พัฒนาขึ้น จึงได้มีการปรับปรุง พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ.2504 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2508 ผ่านไปราว 50 ปีประเทศไทยก็ขาดช่วงการพัฒนากฎหมายนิวเคลียร์ไประยะใหญ่ๆเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) หน่วยงานในสหประชาชาติ เราจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 ขึ้นมาเรียกได้ว่า...เป็นฉบับปรับปรุงครั้งใหญ่เพราะในมาตรา 3 สั่งให้ยกเลิกฉบับเดิมทั้ง 2 ฉบับ...วิธีการออกกฎหมายนิวเคลียร์ ก็เหมือนการออกกฎหมายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญทั่วไป ซึ่งผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายมาจาก 3 กลุ่ม คือ คณะรัฐมนตรี, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ประชาชนร่วมลงชื่อตั้งแต่ 1 หมื่นคนขึ้นไปหากพิจารณาตามความน่าจะเป็นกลุ่มที่น่าจะยกร่างกฎหมายนิวเคลียร์ก็น่าจะมาจากกลุ่มที่ 1 และ 2 ดังนั้น...กลุ่มนี้จำต้องประสานหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนิวเคลียร์โดยเฉพาะในที่นี้หมายถึงสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ผ่านกลไกสายงานการบังคับบัญชาเริ่มจาก...แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบปฏิบัติต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ “พลังงานนิวเคลียร์” ทั้งหมด สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติคือหน่วยงานหลัก ในจุดนี้สำคัญมากเพราะเป็นเพียงส่วนหน่วยงานประสานงานกับสายงานการบังคับบัญชาเท่านั้น ประชาชนทั่วไปแทบจะไม่มีส่วนไปเกี่ยวข้องจึงมอบความไว้วางใจกับหน่วยงานหลัก (ปส.) ที่จะยึดมั่นในหลักการ หลักปฏิบัติ ให้สอดกับแนวทางของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ สมกับที่จะได้ชื่อว่า Smart Regulator อย่างแท้จริง“หน้าที่มาพร้อมความรับผิดชอบเสมอ” คำนี้มักจะใช้ได้เสมอ เพราะดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เนื่องจาก ปส.เป็นผู้ออกกฎและบังคับใช้ควรมีความเท่าเทียม เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ...เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนกรณีตัวอย่างการที่ ปส. ออกใบอนุญาตสถานประกอบการนิวเคลียร์ให้กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ใบอนุญาตเลขที่ 1/2563) แต่ละเลยไม่ออกให้ผู้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี แก่สำนักงานเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ซึ่งกฎหมายระบุชัดในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559มาตรา 80 ผู้ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี ต้องได้รับใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อตั้งสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี ใบอนุญาตก่อสร้างสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี และใบอนุญาตดำเนินการให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี จากเลขาธิการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ตามลำดับ ให้นำบทบัญญัติในหมวด 5 สถานประกอบการทางนิวเคลียร์ และหมวด 8 ความปลอดภัย ความมั่นคงปลอดภัย และการพิทักษ์ความปลอดภัย รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งในปัจจุบัน “สำนักงานเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ” นำกากกัมมันตรังสีไปเก็บไว้ในที่ต่างๆเช่น สำนักงานองครักษ์ สำนักงานคลองห้า ซึ่งที่สำนักงานคลองห้านี่เองมีแผนการก่อสร้าง “อาคารเก็บกากฝุ่นเหล็กกัมมันตรังสี” ตอกย้ำ... ความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสิ้นเชิง เรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายประเด็นในเขตพื้นที่สำนักงานคลองห้า จ.ปทุมธานี ซึ่งเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วเช่น กระบวนการแปรแร่โมนาไซต์เป็นทอเรียม ยูเรเนียม ที่มีความผิดปกติในหลายประเด็น เช่นได้รับใบอนุญาตใดดำเนินการ มาตรฐานในการดำเนินการ แม้จะปิดโครงการโดยฝังกลบบ่อบำบัดน้ำเสียทั้ง 7 บ่อดื้อๆและขายทอดตลาดผลผลิตที่เกิดจากการแปรสภาพแร่ในที่สุดไปแล้วก็ตามไม่นับรวมถึงกรณี “บ่อรังสีโคบอลต์” ทรุดใต้ดิน สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนสร้างความเสี่ยงต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม...ที่สุดแล้ว “ชาวบ้าน” ตาดำๆ ก็ต้องทน “รับกรรม” ที่ไม่ได้ก่อ.