วันเสาร์สบายๆวันนี้ผมชวนท่านผู้อ่าน “พักหัวใจ” ไปท่องโลกกว้างดูเศรษฐกิจจีนกันสักวันนะครับ จีนเป็นประเทศแรกที่เจอการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น เป็นประเทศแรกที่สั่งปิดบ้านปิดเมืองปิดประเทศเพื่อกำจัดไวรัสร้ายโควิด แล้วก็เป็นประเทศแรกที่ชนะเจ้าไวรัสร้ายได้สำเร็จ เปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ แต่ยังไม่เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติผู้นำจีนเน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเติบโตจากในประเทศไปสู่ความยั่งยืน แทนการเติบโตจากการส่งออกแบบเศรษฐกิจเดิมๆแม้จะเพิ่งฟื้นไข้ แต่เศรษฐกิจจีนก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วติดต่อกัน 3 ไตรมาส จากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ 3 เดือนแรกปีนี้จีดีพีโตแบบก้าวกระโดด 18.3% เติบโตแบบรูปตัววี (V) จากการฟื้นตัวด้านการผลิต การบริโภคในประเทศ และการค้าทุกด้านวันนี้ผมจะเล่าถึงความก้าวหน้าของจีนอีกด้านคือ “เงินหยวนดิจิทัล” Digital Currency Electronic Payment (DCEP) ที่กำลังใกล้ความจริงในการนำ “เงินหยวนดิจิทัล” มาทดแทน “เงินหยวน” (Fiat Money) เงินดิจิทัลธนาคารกลาง กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็กำลังพัฒนา “เงินบาทดิจิทัล” ซึ่งก้าวหน้าไปมากแล้ว อีกไม่นานคนไทยคงได้ใช้ “เงินบาทดิจิทัล” ในการใช้จ่ายแทนเงินสดได้ทุกอย่างคุณภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้เขียนบทความเรื่อง “การมาของหยวนดิจิทัล (DCEP) กับผลต่อธุรกิจ e-Commerce ไทย” ลงใน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับมิถุนายนไว้อย่างน่าสนใจ ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทย ที่ไปค้าขายบน แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีน ควรให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งปี 2564 ทางการจีนได้วางแผนขยายเมืองในการทดสอบ “เงินหยวนดิจิทัล” เพิ่มขึ้นอีก 5 เมือง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ฮ่องกง มาเก๊า และ มณฑลกวางตุ้ง มีประชากรรวมกันราว 170 ล้านคน จากเดิมที่มีเพียง 4 เมืองคือ สงอัน เซินเจิ้น ซูโจว และ เฉิงตู พร้อมกับขยายแหล่งรับเงินหยวนดิจิทัลหลากมากขึ้น อาทิ โรงพยาบาล ตู้หยอดเหรียญในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน จากเดิมที่กระจุกตัวแค่ ร้านค้า ร้านอาหาร และ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขณะเดียวกันจีนได้พัฒนาฟังก์ชันรองรับการใช้เงินหยวนดิจิทัลมากขึ้น เช่น ผ่านตู้เอทีเอ็ม ที่สามารถแปลงเงินฝากในบัญชีธนาคารเป็นเงินหยวนดิจิทัลได้ รวมทั้ง การใช้งานผ่านเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) และ บัตร Hard Wallet ที่เอื้อให้ประชาชนที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตให้สามารถใช้เงินหยวนดิจิทัลได้ โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเงินหยวนดิจิทัลในวงกว้างมากขึ้น จีนยังมีแผนที่จะนำเงินหยวนดิจิทัลมาใช้ในงาน “กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2565” ที่กรุงปักกิ่งอีกด้วย ซึ่งอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนให้มีการใช้เงินหยวนดิจิทัลในกลุ่มคนต่างชาติด้วย จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะคนจีนเท่านั้นเมื่อเงินหยวนดิจิทัลมีการใช้อย่างแพร่หลาย ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบชำระเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่น่าจับตามากที่สุดคงเป็น ระบบการชำระเงินผ่านแพลตฟอร์ม e–Commerce ในจีน ซึ่งจะต้องมีการ เปลี่ยนระบบเพื่อรองรับการชำระเงินผ่านหยวนดิจิทัล ในระยะข้างหน้า (เช่น WeChat Alipay) การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซคนไทย ที่อยู่ใน แพลตฟอร์ม e–Commerce จีน แน่นอนวันนี้ ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทย ที่ทำธุรกิจอยู่บน แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีน มีอยู่ 2 กลุ่มหลักคือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Tmall.com JD.com เป็นต้น และ ผู้ประกอบการรายย่อย ที่ใช้ตัวแทนคนจีน ซึ่งจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดผมนำบางส่วนมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและรายย่อย ที่กำลังเดือดร้อนอยู่แล้ว ได้เตรียมตัวล่วงหน้า จะอยู่กับอนาคตข้างหน้าอย่างไรให้รอด?“ลม เปลี่ยนทิศ”