เห็นว่ากระแสบนโลกโซเชียลของไทยกำลังเจอเทรนด์แฮชแท็ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” ที่เพิ่งเปิดเฟซบุ๊กได้เพียงไม่กี่วันมีคนเข้าไปร่วมแล้วกว่าครึ่งล้านชีวิต ถึงขนาดนักวิชาการออกมาวิเคราะห์สถานการณ์อนาคตประเทศไทยเพราะมีทั้งแชร์ประสบการณ์ แชร์โอกาสความน่าจะเป็นที่จะไปอยู่ต่างแดนทั้งโลกสวยและโลกนี้ช่างร้ายเหลือ แต่ก็ยังเจอกระแสจิกกัดปนประชดให้ถึงขั้นไปตั้งประเทศกันใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความเป็นจริงด้วยบังเอิญเข้าไปดูภาพยนตร์อิงเรื่องจริงทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Rose Island เกาะสวรรค์ฝันอิสระ” นำเอาคดีประวัติศาสตร์โลกเมื่อปี 2510 ที่เกี่ยวโยงไปถึงสภายุโรปกับสหประชาชาติ หรือยูเอ็น จนถึงกับต้องกำหนดจุดเริ่มต้นขอบเขตน่านน้ำเสรีกันใหม่เรื่องราวชีวิตของหนุ่มวิศวกรจบมาหมาดๆ ไฟแรงออกแนวบ้าบิ่นเล็กน้อย ที่เจอคำพูดแฟนเก่าว่า “ทำตัวเหมือนโลกนี้เป็นของตัวเอง ทั้งที่ไม่ใช่” เลยคิดอยากมีโลกใหม่เพื่อที่จะอยากทำอะไรก็ได้ โดยมีเพื่อนวิศวกรอีกคนมาช่วยกันสร้างเป็นเกาะเหล็กแบบแท่นขุดเจาะน้ำมันจาก 2 คนก็มีพลเมืองเป็นของตัวเองเข้าร่วมรวมกันเป็น 5 คนบนเกาะที่ตั้งชื่อตามเรื่อง กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวปาร์ตี้กลางทะเลมีผู้คนแห่นั่งเรือออกไปไม่กี่สิบนาที ขยายความเจริญทั้งมีอากรแสตมป์ และธงชาติเป็นของตัวเอง จนเกือบมีเงินสกุลของตัวเองด้วยชื่อเสียงโด่งดัง หนังสือพิมพ์ตีเป็นข่าวใหญ่ทั่วประเทศ เลยเถิดถึงขั้นตัวเอกของเรื่องต้องการตั้งเป็นรัฐอิสระ ก็ไปทำเรื่องถึงสภายุโรปกับยูเอ็นให้ประกาศรับรอง ซึ่งก็พร้อมสนับสนุน แต่ก็ถูกต่อต้านทั้งจากสำนักวาติกันและรัฐบาล โดยรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยใช้ทั้งไม้อ่อนไปถึงไม้แข็งสั่งให้กองทัพนำเรือรบไประเบิดเกาะเหล็กทิ้ง ถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของรัฐบาลอิตาลีที่มีการประกาศรุกรานประเทศอื่น ซึ่งก็คือสาธารณรัฐโรสไอซ์แลนด์นี้เรื่องราวมีสอดแทรกมุกขำการเมืองแบบหน้าตายแต่ไม่ได้จงใจ เชื่อว่าผู้กำกับคงไม่อยากเล่าเรื่องในเชิงเคร่งเครียดไปนัก ถือว่าสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกใครที่กำลังฝันให้รู้ว่า ประวัติศาสตร์เคยมีจริง แม้สุดท้ายอิสรภาพแม้เพียงพื้นที่ 400 ตร.ม. ก็ยังถูกทำลายทิ้งไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม.ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ