ที่ญี่ปุ่นมีพระดีรูปหนึ่ง เป็นพระในตำนานนิกายเซ็น ชื่อจริงท่านก็มี “ฮะกูอิน” แต่ชาวบ้านประทับใจ เรียกท่านว่า “หลวงพ่อยังงั้นรึ” เพราะไม่ว่าท่านจะประสบพบพาน เรื่องดีร้ายประการใด ท่านพูดอยู่คำเดียว “ยังงั้นรึ!”ผมเขียนคำ “เซ็น” มีไม้ไต่คู้ตามอาจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ท่านบอกไว้ในหนังสือ 9 พุทธ 9 เต๋า 9 เซ็น (สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2558) ว่า “เซ็น” หรือ “ฉาน” เพี้ยนมาจากคำเดิมในภาษาสันสกฤตว่า ธฺยานท่านให้เหตุผลว่า “ผมชอบเขียน “เซ็น” มากกว่า เพราะตรงกับคำว่า ZEN ซึ่งออกเสียงกระชับกว่า”เซ็นเกิดขึ้นเมื่อใดไม่ทราบ ทราบแต่ว่าพระอินเดียรูปหนึ่ง ชื่อโพธิธรรม เดินทางไปประเทศจีนเมื่อสมัยพระเจ้าเหลียงบู๊ตี่ ซึ่งคนจีนเรียกว่า “ตั๊กม้อ โจวซือ” ท่านได้วางรากฐานพุทธศาสนานิกายเซ็นไว้มั่นคงอาจารย์เสฐียรพงษ์เริ่มต้นว่า ใกล้ๆวัดหลวงพ่อฮะกูอิน มีร้านขายของชำอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านมีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่ง จู่ๆพ่อแม่ของหญิงสาวก็ได้พบว่าลูกสาวตั้งท้องขึ้นโดยไม่รู้เบาะแสอะไรมาก่อนเหตุการณ์นี้ทำให้เขาทั้งสองโกรธมาก พยายามเค้นเอาความจริง ลูกสาวก็ใจเด็ดไม่ยอมปริปากบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องในที่สุดเมื่อถูกบังคับขู่เข็ญหนักเข้า จึงยอมหลุดปากออกมาว่าพ่อของเด็กก็คือท่านอาจารย์ฮะกูอินสองตายายวิ่งแจ้นไปด่าพระอาจารย์ด้วยความโกรธจัด ท่านอาจารย์ไม่พูดอะไรย้อนถามคำเดียว “ยังงั้นรึ!”เมื่อเด็กเกิดมาแล้วพ่อแม่ของหญิงสาวก็อุ้มเด็กไปให้พระอาจารย์ฮะกูอินเลี้ยงมาถึงตอนนี้ชื่อเสียงพระอาจารย์ก็เสื่อมไปหมดแล้ว แต่ท่านก็ไม่ได้แสดงท่าทีทุกข์ร้อนออกมา ทั้งยังเอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กอย่างดีไม่มีใครเอาอาหารมาถวาย ท่านมีเงินก็ใช้ซื้อนมและอาหารจำเป็นสำหรับเจ้าหนูน้อยจากชาวบ้านหนึ่งปีผ่านไป แม่ของเด็กสุดทนที่จะดูเหตุการณ์ที่หลวงพ่อฮะกูอินเลี้ยงดูลูกตัวเองต่อไปนี้ จึงสารภาพความจริงกับพ่อแม่ว่า พ่อที่แท้จริงของเด็กคนนั้น คือเจ้าหนุ่มที่ตลาดขายปลา หาใช่พระอาจารย์ฮะกูอินไม่สองตายายได้ฟังดังนั้น จึงรีบไปหาพระอาจารย์ขอโทษขอโพยในความผิดของตัวเองยืดยาวหลวงพ่อท่านนิ่งฟัง จนเมื่อเขาขอรับเด็กกลับไปเลี้ยงที่บ้าน ท่านอาจารย์ก็หลุดออกมาคำเดียวคำเดิม“ยังงั้นรึ!”แล้วก็ลุกขึ้นไปอุ้มเด็กมามอบให้เรื่องในตำนานพระนิกายเซ็นจบลงตรงนี้ ใครมีวิธีคิดอะไร ยังไง ตามสไตล์เซ็น เขาเก็บกันไว้ในใจแต่ถ้าเป็นนิกายพุทธแบบเราๆ พระท่านคงบอกว่า วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อฮะกูอิน คือธรรมะข้อขันติ แปลว่า ความอดทน อดกลั้นมีลักษณะ...ทนต่อความลำบากตรากตรำ ไม่แสดงอาการท้อแท้หรือยอมแพ้ ทนต่อทุกขเวทนา ไม่แสดงอาการทุรนทุราย ทนต่อความเจ็บใจ ไม่แสดงความไม่พอใจ เมื่อถูกคนอื่นกระทบแดกดันและทนต่อกิเลส ไม่แสดงอาการอยากได้ หรือโกรธเคืองจนออกนอกหน้าธรรมะข้อขันติ คู่กับธรรมะข้อโสรัจจะ คือความเสงี่ยม นี่คือธรรมะคู่สำคัญบ้านเมืองเรายามนี้ คงมีใครหลายคน ทำท่าจะอดทนอดกลั้นกับการอยู่บ้านโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาต่อไปไม่ไหว ลองใช้ธรรมะ ข้อขันตินี่ล่ะครับ คิดถึงหลวงพ่อฮะกูอินก็ได้ ท่านทนเป็นพ่อเด็กเลี้ยงเด็กอยู่ได้ยังไงเป็นปี.กิเลน ประลองเชิง