ตามรายงานของ Global Network Against Food Crises ที่ก่อตั้งโดยสหภาพยุโรป (EU), องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และโครงการอาหารโลกขององค์การสหประชาชาติ (WFP) ซึ่งจับมือกันเป็นพันธมิตรด้านมนุษยธรรม สร้างส่วนร่วมในการพัฒนาเพื่อป้องกันและเตรียมรับมือวิกฤติด้านอาหาร รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อยุติความหิวโหย เผยว่าเมื่อปี 2563 ประชากร 155 ล้านคนใน 55 ประเทศ ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างฉับพลัน มากกว่าในปี 2562 ถึง 20 ล้านคนGlobal Network Against Food Crises ยังระบุอีกว่า ประชากร 28 ล้านคนใน 28 ประเทศที่ประสบปัญหาความหิวโหยอย่าง ปุบปับฉับพลันในระดับฉุกเฉิน ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, เยเมน และอัฟกานิสถาน เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด ส่วนประชากรอีก 133,000 คนในสาธารณรัฐบูร์กินาฟาโซ, ซูดานใต้ และเยเมน ก็ถูกตัดสินว่ากำลังประสบกับระยะหายนะใหญ่หลวงที่สุดของความไม่มั่นคงด้านอาหาร เรียกว่าแอฟริกายังคงเป็นทวีปที่ครองแชมป์ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการขาดแคลนอาหาร โดยรวมมีผู้ได้รับผลกระทบ 98 ล้านคน คิดเป็น 63% ของผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวจากทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 54% ในปี 2562 เห็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างนี้ แน่นอนว่าหลายฝ่าย มองว่า ความตื่นกลัวกับวิกฤติความมั่นคงด้านอาหารกำลังเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว สถานการณ์ก็จะยิ่งทรุดหนักเข้าไปอีกปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้โลกไม่ได้เผชิญแค่สงครามและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ก็เป็นปัญหาสำคัญของความมั่นคงด้านอาหาร แต่ตอนนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยโรคระบาดใหญ่อย่างโควิด-19 ตามมาด้วยภาวะย่ำแย่ทางเศรษฐกิจ ทางออกดูเหมือนจะมี แต่ต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างจริงจังจริงใจเพื่อฝ่าข้ามวิกฤตินี้ให้ได้ เช่น เมื่อเร็วๆนี้ นาย ฉู ตงหยู ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องดำเนินการร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เกี่ยวกับวิกฤติอาหารเลวร้ายลงไปอีก และเรียกร้องให้มีการดำเนินการด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน โดยต้องจัดการกับต้นตอ ต้องทำให้ระบบอาหารทางการเกษตรมีประสิทธิภาพครอบคลุม ยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้นทั้งนี้ สิ่งที่เน้นย้ำคือความจำเป็นในการกระจายอาหารอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนประชากรทั่วโลกที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 8,500 ล้านคนภายในปี 2573.ภัค เศารยะ