ระดับผู้นำรัฐบาลไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการที่ร่างญัตติการแก้ไขถูกคว่ำกลางสภา ทั้งๆที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในทั้งสองสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วางตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โบ้ยให้เป็นเรื่องของสภา อ้างให้ฟรีโหวตนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเข้าร่วมรัฐบาลโดยมีเงื่อนไข ต้องให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐ บอกว่าพรรคทำเต็มที่แล้ว ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อ้างว่า ส.ส.มีเอกสิทธิ์ที่จะไม่ลงมติและเดินออกจากห้องประชุมรองนายกรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่ง เป็นรองฝ่ายกฎหมายนายวิษณุ เครืองาม ย้อนถามนักข่าวว่า “ทำไม ผมทำอะไรที่จะต้องรับผิดชอบ” แต่ถ้าเรายอมรับว่าการปกครองขณะนี้ เป็นประชาธิปไตยระบบรัฐสภา รัฐธรรมนูญ ม.164 ระบุว่า รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ และอำนาจของตนรัฐธรรมนูญบัญญัติด้วยว่าคณะรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในการกำหนดนโยบาย และการดำเนินการ ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี การเมือง ระบบรัฐสภายึดหลักการว่า ถ้าร่างกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายสำคัญของรัฐบาล ถูกคว่ำในสภา รัฐบาลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือยุบสภา เพราะแสดงว่ารัฐสภาไม่ไว้วางใจหลักการข้างต้นไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นประเพณีการปกครองประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาในอดีตเคยมีหลายรัฐบาลที่ยุบสภาหรือลาออก หลังแพ้มติสำคัญในสภา แต่รัฐบาลนี้ไม่ถือสา เพราะแม้แต่คำว่า “มารยาทการเมือง” ก็ไม่ถือ ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆอาจปฏิเสธไม่ใช่นโยบายของตนอาจอ้างว่าเป็นนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็น 1 ใน 12 ของ “นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล” ที่แถลงต่อรัฐสภา แต่สามพรรคร่วมรัฐบาล อันได้แก่พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ประกาศว่าจะจับมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ขออวยพรให้เป็นผลสำเร็จขออย่าให้มีระดับแกนนำพรรคใด พรรคหนึ่ง ต้องลุกขึ้นประกาศอีกครั้งว่า “ไม่สามารถร่วมสังฆกรรม ฉ้อฉล ศรีธนญชัย ปลิ้นปล้อน ไร้สาระ นี่คือสภาโจ๊ก” อีกเลย แค่นี้ชาวบ้านก็เอือมระอา เสื่อมศรัทธา ต่อนักการเมือง พรรคการเมือง และประชาธิปไตยครึ่งใบ เผด็จการครึ่งใบ พอแล้ว อย่าให้การแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นปาหี่.