ระบาดหนักในภาคใต้ สำหรับ “ยาคลายเครียดผงสีชมพู” ที่ล่าสุด ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี ได้รับตัวอย่างจากสถานีตำรวจในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า ตรวจพบการเสพยาผงสีชมพู โดยอ้างว่าเป็นยาคลายเครียด กินแล้วอารมณ์ดี ผ่อนคลาย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลว่า ยาดังกล่าวมีลักษณะเป็นผงละเอียดสีชมพูปนเกล็ดสีขาว น้ำหนักประมาณ 3.14 กรัม บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสซิปล็อก ไม่มีฉลากแสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบ เลขสารบบ และสถานที่ผลิตใดๆ จึงได้สั่งการให้ทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสารเสพติดและตัวยาอื่นๆที่ผสมในตัวอย่างดังกล่าว ด้วยเทคนิค Gas Chromatography Massspectrometry (GC-MS) ผลจากการทดสอบ ทำให้พบว่ายาผงสีชมพูดังกล่าว มีส่วนผสมของตัวยาเมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน (Methylenedioxymetham phetamine; MDMA) หรือยาอี และเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) หรือยาบ้า ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ทั้งยาเมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน และเมทแอมเฟตามีน นอกจากจะเป็นยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นยาที่มีอันตราย หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการติดยาเสพติด ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมและปัญหายาเสพติดตามมาได้ ทั้งนี้ ได้รายงานผลการตรวจพบยาอีและยาบ้าดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด และได้ส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามทราบ เพื่อเฝ้าระวังการระบาดในพื้นที่“จากข้อมูลของตำรวจที่ได้สอบถามผู้บริโภคที่ใช้ยาดังกล่าวแล้ว ส่วนใหญ่ให้การว่า กินยานี้เพื่อคลายเครียด กินแล้วทำให้นอนหลับ ซึ่งก็ตรงกับสรรพคุณหรือฤทธิ์ของยา ยากลุ่มนี้ที่ออกฤทธิ์ต่อสมอง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีผลข้างเคียง เช่น ทำให้เกิดอาการติดยาถ้าไม่ได้กิน ใช้ไปนานๆ จากที่ทำให้หลับ จะกลายเป็นนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เพราะอาการดื้อยา หรือฤทธิ์ยาตกค้าง” นพ.ศุภกิจ บอก อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกด้วยว่า ขอแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงผลิตภัณฑ์ยาคลายเครียดที่มีความเสี่ยงในชุมชนชนิดนี้ ที่นอกจากจะเป็นอันตรายแล้ว การใช้ยาดังกล่าวยังมีผลให้ได้รับยาจำพวกยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ได้โดยไม่รู้เท่าทัน หากประชาชนต้องการใช้ยากลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลในครอบครัวหรือชุมชนได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และขอความร่วมมือจากประชาชนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นเครือข่ายเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพอันตรายในชุมชน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้หมดไปสำหรับ ยาอี มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ยาเลิฟ หรือเอ็คซ์ตาซี เป็นยาที่แพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเที่ยวกลางคืน ออกฤทธิ์ใน 2 ลักษณะ คือ ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทในระยะสั้นๆ หลังจากนั้นจะออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง ฤทธิ์ของยาจะทำให้ผู้เสพรู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง การได้ยินเสียง และการมองเห็นแสงสีต่างๆ ผิดไปจากความเป็นจริง เคลิบเคลิ้ม ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมเสื่อมเสียต่างๆจากการค้นคว้าวิจัยของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน พบว่า ยาชนิดนี้มีอันตรายร้ายแรง แม้จะเสพเพียง 1-2 ครั้ง ก็สามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ผู้เสพมีโอกาสติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย และยังทำลายเซลส์สมองส่วนที่ทำหน้าที่ส่งสารซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการควบคุมอารมณ์ให้มีความสุข ซึ่งผลจากการทำลายดังกล่าว จะทำให้ผู้เสพเข้าสู่สภาวะของอารมณ์ที่เศร้าหมองหดหู่อย่างมาก และมีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนปกติ ส่วน ยาบ้า หรือเมทแอมเฟตามีน มีอันตรายไม่น้อยไปกว่ายาอี หากเสพเป็นระยะเวลานานหรือใช้เป็นจำนวนมาก จะทำให้ผู้เสพมีความผิดปกติทางด้านจิตใจ กลายเป็นโรคจิตชนิดหวาดระแวง ส่งผลให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น เกิดอาการหวาดกลัว ประสาทหลอน ซึ่งโรคนี้หากเกิดขึ้นแล้วอาการจะคงอยู่ตลอดไป แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เสพยาก็ตามนอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบประสาท โดยในระยะแรกจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ประสาทตึงเครียด แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยาจะมีอาการประสาทล้า ทำให้การตัดสินใจเรื่องต่างๆช้าและผิดพลาดหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม หรือกรณีที่ใช้ยาในปริมาณมาก (Overdose) จะไปกดประสาทและระบบการหายใจ ทำให้หมดสติหรือตายได้ ในส่วนของพฤติกรรม ฤทธิ์ของยาจะกระตุ้นสมองส่วนที่ควบคุมความก้าวร้าวและความกระวนกระวายใจ เมื่อเสพไปนานๆ จะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง เช่น ทำร้ายผู้อื่นได้.