จากการติดตามข่าวก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดูเหมือนว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะไม่กลัวข้อมูลทีเด็ดของฝ่ายค้านเท่าไหร่ แม้ฝ่ายค้านขู่ว่าจะมีรัฐมนตรีหลายคน จะโดนถอดถอนหลังจบการอภิปราย แต่รัฐมนตรีดูเหมือนจะกลัว ส.ส. พรรคเดียวกัน หรือ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล “แทงข้างหลัง” ด้วยการลงมติสวนมากกว่าเนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค เป็นรัฐบาลร้อยพ่อพันแม่ มีพรรคขนาดกลางและพรรคเล็กเข้าร่วมมากกว่า 10 พรรค เป็นอภินิหารของระบบการเลือกตั้งระบบผสม ใช้บัตรใบเดียวเลือก ส.ส.ได้ 2 ประเภท ทั้ง แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อมีจุดมุ่งหมายสำคัญไม่ให้พรรคใดได้เสียงข้างมากในสภาผลการเลือกตั้งเป็นไปตามที่คาดหมายมีเกือบ 30 พรรคที่ได้ ส.ส. เข้าสภา แต่ไม่มีพรรคใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ 251 ที่นั่ง ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว พรรคใหญ่ที่สุดในสภากลายเป็นวุฒิสภา ที่มีถึง 250 ที่นั่ง เท่ากับกึ่งหนึ่งของ ส.ส. 500 คน ฉะนั้น ผู้ที่แต่งตั้ง ส.ว.คือ คสช. จึงเป็นกลุ่มเดียวที่จัดตั้งรัฐบาลได้พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล มี ส.ส. ร้อยกว่าคน แต่มีหลายมุ้งหลายกลุ่ม เพราะเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาจากการดูดนักการเมืองพรรคต่างๆ เมื่อเข้ามาอยู่พรรคเดียวกันก็ยัง เป็นก๊กเป็นกลุ่มมีผู้นำกลุ่มดูแล มีการแย่งชิงอำนาจภายในพรรค ชัดเจนที่สุดคือกลุ่ม “สี่กุมาร” ต้องถอนตัวยิ่งกว่านั้นยังมีพรรคขนาดกลางร่วมรัฐบาลอีก 3 พรรค พรรคเล็กอีก 9 พรรค มี ส.ส. 25 คน กลายเป็นที่มาของนิทานการเมือง เรื่อง “ลิงหิวกล้วย” จากคำบอกเล่าของรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ดูแลพรรคเล็ก ในการอภิปรายครั้งนี้พรรคเล็กต่อรองว่าต้องดูการอภิปราย และคำชี้แจงของรัฐมนตรีก่อน จึงตัดสินใจลงมติแต่มีบางพรรคขอรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง กล่าวโดยสรุปก็คือการเมืองไทยวันนี้ “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ต้องสวมหน้ากากไม่ใช่เพื่อกันโควิด แต่เพื่อปิดบังความจริง อาจถูกแทงข้างหลังเมื่อไรไม่รู้ได้ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ก็มีข่าว “ส.ส.งูเห่า” ออกมาเป็นระยะๆ นี่คือการเมืองไทยตำนาน ส.ส. งูเห่า เป็นเรื่องราวของ ส.ส.พรรคหนึ่ง เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว รวมหัวกันออกเสียงสวนมติพรรค ในการเลือกนายกรัฐมนตรี จึงถูกหัวหน้าพรรคเปรียบเปรยเป็น “งูเห่า” ที่แว้งกัดชาวนาที่อุ้มชู ส่วน ส.ส. หิวกล้วยมักจะแสดงอาการงอแงต้องคอยป้อนกล้วยให้อิ่มหมีพีมันอย่าให้หิวได้ ถ้าหิวเมื่อไหร่การเมืองจะวุ่นวาย.