วันศุกร์ที่ผ่านมา ผมชมถ่ายทอดสดสัมมนาออนไลน์ ONEAM Investment Forum 2021 “Reframe the Future in a pandemic World and Beyond” ของ บลจ.วรรณ ทางFacebook การเงินธนาคาร เนื้อหาดีมาก ฟังจบก็อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะ การวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปีนี้ ของ ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยระบุว่า น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะ ปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัว ยังมาจากความสามารถในการดึงนักท่องเที่ยวกลับมา จากการเปิดเมือง และการได้รับวัคซีนของประชาชน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยังมีความไม่แน่นอนข้อมูล องค์การอนามัยโลก ที่เพิ่งเปิดเผยออกมา ไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนจาก COVAX โดยอาเซียนอีก 9 ชาติได้รับหมด เมียนมา ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และ สิงคโปร์ ที่รวยกว่าไทยและซื้อวัคซีนไปฉีดเป็นชาติแรก แต่ไทยไม่ได้รับการจัดสรรเลยแม้แต่เข็มเดียวไปฟัง ดร.กฤษฎ์เลิศ พูดถึง อนาคตประเทศไทยหลังโควิด-19 กันต่อดีกว่าครับ จากนี้ไปไทยจะต้องเผชิญกับ “5 แผลเป็นทาง เศรษฐกิจ” ที่เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 1.การอยู่ในภาวะหนี้สูง 2.การลงทุนที่ลดลงต่ำ 3.ความเสื่อมของมูลค่าของทุน 4.การครอบครองกิจการแบบควบกิจการ 5.ความเหลื่อมล้ำ ไปอ่านรายละเอียดกันทีละข้อครับ1.การอยู่ในภาวะหนี้สูง ทั้ง หนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ หนี้รัฐบาล เนื่องจากวิกฤติที่รุนแรง ภาคธุรกิจจึงต้องหากระแสเงินสดมาเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้มีการสั่งสมหนี้ หลังจากนี้ แม้ธุรกิจจะอยู่รอด แต่เป็นการอยู่รอดที่เต็มไปด้วยหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการกู้เงินในอนาคตไม่ดีเท่าที่ควร การหาเงินทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพในอนาคตมีจำกัด ภาคครัวเรือน ก็ได้รับผลกระทบจากรายได้ที่หายไปจากการว่างงาน จึงต้องลดการบริโภค ลดการออม กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินระยะยาว อาจต้องกู้เงินเพิ่มรวมถึงการกู้เงินนอกระบบ2.การลงทุนที่ลดต่ำลง หลังจากวิกฤติครั้งนี้ทำให้ ธุรกิจต่างๆลดการลงทุน สิ่งสำคัญคือ การลงทุนในครัวเรือน โดยเฉพาะการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” (Human Capital) เช่น นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ ส่งผลกระทบต่อเด็กไม่สามารถเรียนได้เต็มที่ ส่งผลกระทบต่อทักษะความคิดในระยะยาว และ ส่งผลต่อรายได้ของเด็กและครอบครัวในระยะยาวเช่นกัน3.ความเสื่อมของมูลค่าของทุน การที่ธุรกิจชะงักต้องลดการผลิตหรือปิดกิจการ ทำให้ทุนต่างๆของธุรกิจเสื่อมค่าลง เช่น เครื่องจักร สิ่งก่อสร้าง แต่เป็นการเสื่อมทางกายภาพ ไม่น่าห่วงเท่ากับ การเสื่อมสภาพของทุนมนุษย์ โดยแรงงานต่างๆที่มีทักษะเฉพาะเจาะจงกับบริษัท การปิดกิจการทำให้ทักษะเหล่านั้นหาย เมื่อกลับไปทำงานใหม่ต้องมีการ Re–Skill และ Up–Skill ขณะที่ ทุนองค์กร (Organization Capital) ก็หายไปด้วย เช่น ความสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อทำธุรกิจ เมื่อปิดกิจการความสัมพันธ์เหล่านี้ก็หายไป ต้องสร้างขึ้นมาใหม่4.การครอบครองกิจการแบบควบกิจการ หลังจากวิกฤติในครั้งนี้ บางธุรกิจที่ในภาวะปกติมีผลประกอบการดี แต่ขาดสภาพคล่อง อาจจำเป็นต้องขายกิจการ ซึ่งมักโดนซื้อไปในราคาถูก ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวทางธุรกิจ ในอนาคต เสี่ยงต่อการแข่งขันของภาคธุรกิจที่ลดลง และ กระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศ5.ความเหลื่อมล้ำ วิกฤติเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนไม่เท่ากัน กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากคือ กลุ่มที่เปราะบางอยู่แล้ว เช่น ธุรกิจเอสเอ็มอี ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสำหรับทางแก้มีอยู่ 2 ทาง 1.เร่งควบคุมการระบาดให้ได้ 2.ใช้มาตรการเศรษฐกิจ 3 ช่วง คือ 1.การเยียวยา เช่น รักษาการจ้างงาน 2.การฟื้นฟู เช่น ทำให้ธุรกิจเปิดกิจการได้เร็วที่สุด 3.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะหลังโควิดเศรษฐกิจและธุรกิจจะไม่เหมือนเดิม ฟังแล้วก็ไม่รู้จะฝากอนาคตไว้กับรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างไร เห็นตัวอย่าง “วัคซีนอาเซียน” แล้วก็ต้องทำใจ.“ลม เปลี่ยนทิศ”