ท่ามกลางตัวเลขผู้ติดโควิด-19 ระลอกใหม่ มีแนวโน้มเพิ่มทุกวัน “กระทรวงศึกษาธิการ” ได้ออกประกาศให้ “สถานศึกษา ของรัฐ และเอกชน” เปิดการเรียนการสอนปกติพร้อมกันในวันที่ 1 ก.พ.2564ยกเว้น “พื้นที่สีแดง จ.สมุทรสาคร” และห้ามมีการออกนอกพื้นที่อยู่เช่นเดิม ส่วนอีก 4 จังหวัด คือ สมุทรปราการ กรุงเทพฯ ปทุมธานี และนนทบุรี ให้เปิดเรียนแบบมีเงื่อนไขในการจำกัดนักเรียนไม่เกิน 25 คนต่อห้องทว่าปัจจัยที่ต้อง “เปิดเรียนในสถานการณ์โรคระบาดใหม่” ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเด็กขาดการเรียนรู้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “กลุ่มเปราะบาง” ไม่ได้รับการเรียนต่อหยุดเรียนถาวร อีกทั้ง “เด็กอนุบาลก็เรียนออนไลน์ไม่ได้” เพราะครอบครัวไม่พร้อม ไม่สามารถดูแลบุตรหลานได้เต็มที่ ทำให้พัฒนาล่าช้ากลายเป็นติดเกมซ้ำแทน...หนำซ้ำบางพื้นที่ยังเจอ “ความเหลื่อมล้ำ” ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต ได้ เพราะครอบครัวยากจน ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายจากระบบการเรียนแบบนี้ อีกทั้งข้อมูล “กรมอนามัย” นับแต่มีโควิด-19 ในรอบแรกตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-14 ธ.ค.63 มีผู้ติดเชื้ออายุ 0-18 ปี 207 ราย ที่เป็นกลุ่มเดินทางกลับจากต่างประเทศ ส่วนระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.2563 ถึงปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อ 71 ราย ที่เกิดจากสัมผัสใกล้ชิดในครอบครัว แต่ยังไม่พบการติดเชื้อจาก “ครูสู่นักเรียน” ในโรงเรียนเหตุปัจจัยนี้ทำให้ “ศบค.ชุดเล็ก” พิจารณาเสนอมาตรการผ่อนคลายต่อ “ศบค.ชุดใหญ่” ให้กลับมาเปิดเรียนได้วันที่ 1 ก.พ.นี้...ที่คงเน้นมาตรการตามหลักของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากาก ล้างมือสม่ำเสมอ รักษาระยะห่าง งดกิจกรรมรวมตัวกัน ทำความสะอาดพื้นที่โรงเรียนบ่อยๆนับเป็นความท้าทายสำคัญของ “ระบบการศึกษาไทยในสถานการณ์โรคระบาด” ที่ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยในโรงเรียนเท่านั้น แต่ต้องพร้อมเรียนรู้ ควบคู่กับทักษะปรับตัว “สู่โลกใหม่” ให้มีประสิทธิภาพในอนาคตด้วย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล และ ผอ.ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี บอกว่า ในช่วงโรคระบาดนี้ “โรงเรียน” จำเป็นต้องมีมาตรการดูแลป้องกันแก่ “เด็กนักเรียน” ให้มีความปลอดภัยห่างไกลจากโรคระบาดด้วยโดยเฉพาะ “เด็กวัย 3-6 ขวบ” มักไม่ระวังตัวดูแลป้องกันตัวเองได้ดีนัก ทำให้ “สถานศึกษา” ต้องมีส่วนเข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการแวดล้อมในโรงเรียนให้มีความปลอดภัยที่สุด เพราะ “เด็กวัยเรียน” ต้องมีกิจกรรมรวมกลุ่มกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ และมีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคง่ายยิ่งขึ้นตามมา...แต่ว่ามาตรการดูแลนี้ก็ต้องคำนึงถึง “วิถีชีวิตเด็ก” เป็นหลัก ที่ไม่ใช่ลักษณะเป็นการกดดันที่อาจก่อให้ “เกิดภาวะความเครียด” กลายเป็นกระทบต่อการพัฒนาการเรียนรู้รุนแรงตามมา...ในส่วน “ผู้ปกครอง” ต้องกลั่นกรองข้อมูลข่าวครบทุกด้านอย่างถูกต้อง “ตระหนักได้แต่อย่าตื่นตระหนกเกินไป” เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในการป้องกันอย่างเข้าใจแท้จริง เพราะถ้ารับข้อมูลข่าวมาแบบผิดๆ อาจส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวนำไปสู่ “ความกังวลสร้างความเชื่อให้เด็กแบบผิดๆ” ต่อไปอีก กลายเป็นผลกระทบให้ “เด็กต้องเจอสภาวะความกดดัน” ที่เป็นการก่อให้เกิด “ความเครียดสูง” สุ่มเสี่ยงต่อ “โรคย้ำคิดย้ำทำ” ทำให้เกิดความกังวลตอบสนองความคิดพฤติกรรมซ้ำๆ จนไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนใหม่ๆก็ได้ดังนั้น “ผู้ปกครอง” ต้องใช้โอกาสนี้เริ่มสร้างการรับรู้การใช้ชีวิตแบบ ยืดหยุ่นให้ “เด็ก” เข้าใจในสถานการณ์ “สังคมโลก” ที่กำลังเปลี่ยนไป เพื่อ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมีทักษะพร้อมรับกับสิ่งที่จะเข้ามาใหม่ๆ และปรับตัวอยู่รอดกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น “โรคอุบัติใหม่ และภัยพิบัติธรรมชาติ” นับวันยิ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมตัวอย่างเช่น...PM 2.5 แผ่นดินไหว ภัยแล้ง วาตภัย ภาวะโลกร้อน โรคระบาดรุนแรง ที่เกิดผลกระทบลักษณะเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ไปจนแบบฉับพลันรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ดังนั้นตอนนี้ต้องสร้างการรับรู้ในการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของโลก เพื่อจะได้ปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับสภาวะในขณะนั้นได้ย้อนมา...“เรื่องเปิดเรียนยุคโควิด-19” ในมาตรการป้องกันโรคในโรงเรียนนี้อาจจะไม่แตกต่างไปจากการป้องกันโรคติดเชื้อชนิดทั่วไป ที่มักเคยเกิดขึ้นบ่อยๆทุกปี และมีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันประจำกันอยู่แล้ว เช่น มาตรการป้องกันไวรัสอาร์เอสวี ไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก ไมโครพลาสมา เป็นต้นครั้งนี้ “โรงเรียน” ก็แค่ต้องเพิ่มการเรียนรู้ทักษะ “สุขอนามัย” ที่เป็นรากฐานให้ “นักเรียน” ดูแลสุขภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่เป็นโรคติดต่อตัวใหม่ เบื้องต้น “เด็กหลายคน” ต่างรับรู้ข้อมูลในสถานการณ์เกิดโรคระบาดนี้ตามการบอกเล่าจาก “ครู ผู้ปกครอง” ทำให้มีความตระหนักในการป้องกันอย่างดีระดับหนึ่งอยู่แล้วด้วยซ้ำตอกย้ำว่า...“การระบาดโควิด-19” มีผู้ติดเชื้อกระจายอยู่หลายพื้นที่ของประเทศไทย ทำให้ตัวเลขการผู้ติดเชื้อขึ้นลงอยู่ทุกวัน ด้วยเหตุนี้ “การเปิดโรงเรียน” ย่อมมีความเสี่ยงโอกาสเกิดการระบาดในโรงเรียนได้เสมอ ดังนั้นสถานศึกษาต้องพยายามลดความเสี่ยง ด้วยการเฝ้าระวังเข้มงวดเต็มที่ เพื่อให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุด เริ่มจาก “บังคับตรวจนักเรียน” ปฏิบัติตนสวมใส่หน้ากากอย่างเข้มงวด มีการล้างมือทุกๆ 1 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ปฏิบัติค่อนข้างยาก คือ “การเว้นระยะห่าง” เพราะ “นักเรียน” ชอบเล่นกันตามวัย และ “ครู” ก็ไม่สามารถควบคุมได้ตลอดเวลาอยู่แล้วสุดท้ายเมื่อ “เปิดโรงเรียน” มาแล้วคงทำได้ทางเดียว คือ “นักเรียนดูแลตัวเอง” ทั้งใส่หน้ากาก ล้างมือ และ “ครู” ต้องสอนวิธีเว้นระยะห่างด้วย เพราะจะ “ตลกมาก” อยู่นอกโรงเรียนเว้นระยะ แต่เข้ามาในโรงเรียนไม่ต้องเว้นระยะ ดังนั้น “มาตรการรัฐบาล” แนะนำต้องทำเคร่งครัด ส่วนทำได้แบบใด “โรงเรียน” ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นประเด็นข้อเสนอ...“มาตรการเรียนแบบแบ่งกลุ่มเฉพาะ” เช่น ห้องเรียนมี 30 คน ก็ต้องอยู่กันเฉพาะจำนวนนี้ที่จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวสัมผัสกลุ่มอื่นในโรงเรียนเด็ดขาด ถ้าเกิดการติดเชื้อจะไม่แพร่กระจายไปในกลุ่มอื่น แต่ว่า “ผู้ปกครอง” อาจต้องยอมรับความเสี่ยงของการรวมกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่า พื้นที่ใดเสี่ยงเกิดการระบาดขึ้นได้เลยยกตัวอย่าง ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย “สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กฯ” กำหนดเปิดเรียนในวันที่ 12 ก.พ. มีการแบ่งกลุ่มชั้นเรียน 12-15 คน ในช่วงนี้เชิญ “ผู้ปกครอง” มาทำความเข้าใจชี้แจงการเรียนแบบนี้ที่ต้องยอมรับความเสี่ยงจากการรวมกลุ่มกันได้ และมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูล “ความเสี่ยงติดเชื้อ” เช่น เด็กไปจุดเสี่ยงสูงควรหยุดเรียนกักตัว 14 วันถ้าโชคร้าย “ติดเชื้อในกลุ่มนี้” ผู้ปกครองต้องยอมรับความจริงได้ห้ามโกรธแค้นต่อว่ากล่าวโทษเป็นความผิดผู้อื่น เพราะสมัครใจมาอยู่ร่วมกัน ลักษณะเป็นสมาชิกครอบครัวในสถานการณ์ที่ยังมีโรคระบาดเกิดขึ้นนี้แล้วส่วน “กิจกรรมนอกห้องเรียน” ยังดำเนินการตามปกติ ที่ต้องถูกบังคับไม่ให้ไปสัมผัสนักเรียนกลุ่มอื่น เมื่อเลิกเรียนก็ปล่อยกลับบ้าน สิ่งที่สถาบันฯ ทำกันอีกประการสำคัญ คือ การเฝ้าระวังเข้มข้นสูงสุด “สุ่มตรวจคัดกรองหาผู้ติดโควิด-19” ในกลุ่มนักเรียนเชิงรุกด้วยการแยงจมูกเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการตรวจสอบระบบการป้องกัน จริงๆแล้ว...“เปิดเรียน” ต้องขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่ หากเป็นพื้นที่เสี่ยงต่ำแล้วสถานประกอบการได้เปิดบริการ มีผู้คนออกรวมกลุ่มชุมนุมกันทั่วไปเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลโรงเรียนต้องปิดต่อไป ยกเว้นหากทุกแห่งยังอยู่ระหว่าง “ปิดบริการ” แต่โรงเรียนขอเปิดแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดี เพราะ “โรงเรียน” ก็ถือเป็นสถานที่เสี่ยงต่อการระบาดได้เช่นกันด้วยเหตุนี้เมื่อ “ผู้ปกครอง” ยินยอมให้บุตรหลานไปโรงเรียนอยู่รวมกันกับคนอื่น ก็ย่อมต้องรับความเสี่ยงได้เช่นกัน แม้ว่า “โอกาสติดเชื้อจะน้อย” ก็ไม่ใช่ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังมี “ตัวเลขเด็กไทยติดเชื้อโควิด-19” เกิดอยู่เสมอ ในทางกลับกัน “เด็กติดเชื้อมักไม่แสดงอาการนี้” ถ้ามีโอกาสไปโรงเรียนแล้วอะไรจะเกิดขึ้นเรื่องนี้มองว่า “ลักษณะมารวมกันในโรงเรียน” อาจต้องมีระบบสุ่มตรวจเช็กระบบมาตรการป้องกันในโรงเรียนเดือนละครั้งด้วยซ้ำ เสมือน “โรงงาน” ต้องสุ่มตรวจหาการติดเชื้ออยู่เป็นระยะ ในส่วนนี้ “รัฐบาล” อาจต้องออกค่าใช้จ่ายให้กับโรงเรียนได้ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก เพื่อสร้างความมั่นใจว่า “โรงเรียน” มีความปลอดภัยระดับหนึ่งมิเช่นนั้น “การรวมกัน” ในโรงเรียนแบบนี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเป็นพื้นที่ที่เกิดการระบาดโควิด-19 ได้ยาก ดังนั้น “ผู้ปกครอง” อาจต้องเผื่อใจไว้ด้วยก็ดี...