จากการติดตามสถานการณ์การผลิตลิ้นจี่ในพื้นที่ภาคเหนือของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 เชียงใหม่ (สศท.1) คาดว่าปีนี้ จะมีผลผลิตรวม 23,665 ตัน ลดลงจากปีก่อน 11.21%เนื่องจากเนื้อที่ยืนต้นและเนื้อที่ให้ผลของแหล่งผลิตสำคัญใน 3 จังหวัด เชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา ลดลง เกษตรกรมีการโค่นต้นแก่อายุ 25 ปีขึ้นไปที่ให้ผลผลิตน้อย อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น มะม่วง เงาะ ทุเรียน และส้ม ประกอบกับเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการแทงช่อดอกปีนี้จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณช่วง เม.ย.-มิ.ย.2564 และจะออกมากที่สุด พ.ค. ประมาณ 17,749 ตัน หรือ 75% ของผลผลิตที่จะออกมาทั้งหมดภาพรวมลิ้นจี่ทุกพันธุ์ในภาคเหนืออยู่ในช่วงแทงช่อดอกไปแล้วประมาณ 10% และบางส่วนมีการแตกใบอ่อนไปแล้ว ทำให้ไม่ติดช่อดอก ต่างจากปีที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลาเดียวกันที่ต้นลิ้นจี่แทงช่อดอกแล้ว 60%ส่วนระยะเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิต คาดว่าพันธุ์นครพนมจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ช่วงปลาย มี.ค.-ต้น เม.ย. ส่วนพันธุ์ฮงฮวย จักรพรรดิ และโอเฮียะ จะเริ่มเก็บเกี่ยวปลาย พ.ค.-ต้น มิ.ย.สถานการณ์ด้านตลาด เกษตรกรคาดว่าผู้ประกอบการรับซื้อรายใหญ่จะเข้ามารับซื้อในพื้นที่ได้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คลี่คลายโดยมีการจำหน่ายให้กับผู้ค้ารายย่อยในตลาดหรือขายผ่านกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวมถึงเกษตรกรบางกลุ่มมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจำหน่ายผลผลิตให้กับผู้ค้าออนไลน์ต่างๆ เพื่อช่วยในการกระจายสินค้าได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นโอกาสนี้ นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการ สศท.1 ขอเชิญชวนผู้บริโภคร่วมสนับสนุนผลผลิตลิ้นจี่ของเกษตรกรเนื่องจากลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณเป็นยาช่วยย่อยอาหาร บำรุงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นม้ามหรือระบบประสาท นอกจากนี้ยังช่วยในการบรรเทาอาการกระหายน้ำได้ หากนำเนื้อลิ้นจี่ตากแห้งมาต้มกินเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากโรคไส้เลื่อนและยังช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร และเป็นกำลังใจให้พี่น้องเกษตรกรในการผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพต่อไป.สะ-เล-เต