“ข่าวใหญ่” ของมวลมนุษยชาติ ล่าสุดบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และไบออนเทค (BioNTech) ผู้ผลิตยารายใหญ่ของประเทศเยอรมนี แถลงความคืบหน้า ครั้งใหญ่ในการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในขั้นแรกสามารถป้องกันไม่ให้คนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์โดยมีการนำวัคซีนนี้ไปทดลองกับคน 43,500 คน ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี บราซิล อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้ และตุรกี โดยไม่พบว่ามีปัญหาในเรื่องความปลอดภัยกับผู้เข้าร่วมการทดลองคาดว่าจะมีการผลิตวัคซีน 50 ล้านโดส ภายในปีนี้ และ 1.3 พันล้านโดสในปีหน้าขณะที่ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ระบุว่า รัฐบาลไทยมีข้อตกลงในการประสานข้อมูลเชิงลึกกับบริษัทไฟเซอร์อยู่แล้ว บนพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยไฟเซอร์ถือเป็นหนึ่งในบริษัทยาที่อยู่ ในแผนการจัดหาวัคซีนล่วงหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ผลวิเคราะห์นี้ทำให้ “มีความหวังมากขึ้นว่าจะมีโอกาสได้ใช้วัคซีนในระยะเวลาอันใกล้”การันตีประเทศไทยไม่ตกขบวน “วัคซีนหยุดไวรัสมรณะ”ก่อนอื่นใด โดยปฏิกิริยาตอบรับข่าวดี ณ นาที ที่บริษัทยาเปิดเผยข้อมูลความสำเร็จ ตลาดหุ้นทั่วโลกดีดขึ้นทันทีอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับราคาน้ำมันพุ่งทะยาน ตามสัญญาณที่นักลงทุนมีความหวังว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากที่แกว่งไปแกว่งมาตามสถิติการระบาดในสหรัฐฯและยุโรป“วัคซีนโควิด-19” เท่านั้น คือปัจจัยหนึ่งเดียวที่เป็นแรงกระตุกเศรษฐกิจโลกท่ามกลางแสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์ แต่ที่เมืองไทยยังดีใจได้ไม่สุด เพราะนอกจากอาการติดเชื้อมหาวิกฤติไวรัสโควิด-19 ยังมีโรคแทรกจากวิกฤติความแยกทางการเมืองอาการ “เรื้อรัง” รักษายากกว่าไวรัสอันตรายตามพัฒนาการความแตกแยกที่ขยายวง ยกระดับจากการแบ่งสี แบ่งขั้ว แบ่งค่าย กลายเป็นการขัดแย้งทางความคิดระหว่างเจเนอเรชัน คนรุ่นใหม่กับผู้ใหญ่รุ่นเก่าเด็กมุ่งสร้างดาวคนละดวงกับคนแก่กระแสม็อบเบ่งบาน โดยฉากสถานการณ์ล่าสุด นักเรียน นิสิต นักศึกษา มวลชนราษฎร รุกไปหยุดอยู่แค่ด่านสกัดหน้าศาลฎีกา สนามหลวง ส่งจดหมายถึงปลายทาง “ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้แค่ขอบตา”ปฏิบัติการท้าเหลี่ยมคมอำนาจ เปลี่ยนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ม็อบราษฎร 2563 ล้ำแดนระยะอันตรายมาไกลเป็นเงื่อนไขให้ม็อบอีกฝั่งระดมพลังคนเสื้อเหลือง เกณฑ์สายอนุรักษนิยมออกมาปกป้องสถาบัน แฝงเหลี่ยมคุ้มกัน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว. กลาโหมพ่วงออปชัน “อารักขา” ขุมอำนาจรัฐบาล 3 ป. “ม็อบฟันปลอม-ม็อบฟันน้ำนม” ประจันหน้า ยั่วแหย่ จ่อลงมือลงไม้ชักจะเก็บอาการ “หมั่นไส้” กันไม่อยู่แต่ก็ดูเหมือนจะผ่อนดีกรี ชิงจังหวะอำพรางช็อตบู๊ไว้ชั่วขณะตามปรากฏการณ์ที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รายงานกลางวงที่ประชุม ครม.นัดล่าสุด ระบุสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มราษฎร ตลอดช่วงที่ผ่านมา จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 24 ตุลาคม เป็นต้นมา โดยการชุมนุมต่อครั้ง มีผู้เข้าร่วมจำนวน 10,000-15,000 คน หรือเฉลี่ย 12,000 คน ส่วนการชุมนุมทั่วประเทศ มีประมาณ 50,000 คนล้อกับข่าวประกอบ “บิ๊กตู่” ยิ้มอารมณ์ดี เพราะม็อบเด็กอ่อนกำลังแถมจังหวะยังต่อเนื่องกับจุดที่นายกฯกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ประสานเสียงเคลียร์กระแสข่าวลือบนโซเชียลมีเดีย ปมแกนนำม็อบราษฎรขอลี้ภัยไปต่างประเทศปฏิเสธไม่รู้ ไม่ทราบ อุบไต๋เป็นเชิงคุมเกมเหนือกว่าโดยลีลาทหารเฒ่าที่เดิมพันต้องยื้อเกมอำนาจ มันก็ยังดู “ก้ำกึ่ง” เหลี่ยม “ไอโอ” ดิสเครดิตฝ่ายต่อต้านอาการพูดเองเออเองแค่รัฐฝ่ายเดียว โดยที่เด็กเงียบอยู่เฉยๆอีกทั้งสิ่งที่ยืนยันได้ตามเงื่อนไขสถานการณ์ก็คือ ห้วงนี้ นักเรียน นักศึกษา กำลังสอบกลางภาคไฟต์บังคับต้องเลือกเรียนก่อนไล่รัฐบาลเอาเป็นว่า ณ จุดนี้มวลชนราษฎรยังรักษาระดับความชอบธรรมได้ตามมาตรฐาน “ม็อบปัญญาชน” พลังนักเรียน นิสิต นักศึกษา ก่อปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ที่ชุมนุมอยู่ในขอบเขตรัฐธรรมนูญขับเคลื่อนโดยไร้แกนนำ พลังความขลังสูงกว่า ม็อบแฝงการเมืองตามท้องเรื่อง พลังมวลชนจุดติด กระแสลอยลมบนมาขนาดนี้ มีหรือที่ม็อบเด็กจะฝ่อง่ายๆและฝ่ายที่รับรู้สถานการณ์ได้ดีกว่าทหาร โดยธรรมชาติของพวกจมูกไว ให้จับอาการของนักการเมืองอาชีพที่ยังพยายามยื้อเวทีสภาในการประคองสถานการณ์ทางออกไม่ให้ติดล็อก ไหลเข้าเงื่อนล้มกระดานตามจังหวะถึงคิวสำคัญที่ประชุมรัฐสภานัดพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 17–18 พฤศจิกายนนี้ โดยนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ยืนยันชัดเจน จะมีเฉพาะการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น และได้เตรียมความพร้อมสำหรับการลงมติแล้วโดยแนวโน้ม ไม่สะดุดกับปมที่ “ส.ว.ลากตั้ง” กับ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันลงชื่อ ชิงยื่นญัตติต่อประธานรัฐสภาให้มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ คือฉบับฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และร่างฉบับประชาชน (ไอลอว์) ตั้งแง่ มีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญเหลี่ยมพวกกลัวสูญเสียอำนาจ ยื้อต่อลมหายใจรัฐบาล 3 ป.ขณะมติที่ประชุมวิปรัฐบาลก็ยืนยัน 17–18 พฤศจิกายน โหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่นอน แค่จัดลำดับก่อนหลังในการนำร่างฉบับประชาชนมาประกบกับร่างของ ฝ่ายค้านกับรัฐบาลตามเงื่อนไขสถานการณ์ยังไงก็ต้องรับหลักการแยกแยะตามเนื้อหาของร่างพิมพ์เขียวที่ส่งเข้าประกบกัน ไล่ตั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 ไม่ยุ่งปมสถาบัน โดยแก้มาตรา 256 ให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยที่มา ส.ส.ร.แบ่งเป็น 2 ส่วน จากการเลือกตั้ง และแต่งตั้งเช่นเดียวกับร่างของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ไม่แตะต้อง มาตรา 1 และ 2 แตกต่างกันตรงที่มาของ ส.ส.ร. ฝ่ายค้านยืนยันต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดส่วนร่างประชาชนฉบับไอลอว์ เลือก ส.ส.ร.เปิดกว้างรื้อทุกมาตราที่แน่ๆทั้งนักการเมืองอาชีพ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และความต้องการของร่างประชาชน ไม่มีฝ่ายไหนที่ยื้อสถานภาพความคงอยู่ของ “ส.ว.ลากตั้ง” เครื่องมือต่อท่ออำนาจทีม 3 ป.ตามเงื่อนไข เท่ากับถอนฟืนออกจากกองไฟสภาเดินหน้ารื้อรัฐธรรมนูญตามธงม็อบ ทำตามข้อ 2 ใน 3 เงื่อนตายที่มวลชนรุ่นใหม่เรียกร้องกดดัน โอกาสความเป็นไปได้ต่อเนื่องกับข้อ 1 ที่ไล่บี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ และองคาพยพลาออกทั้งหมดทั้งปวงมันยังต้องไปวัดกันที่ความจริงใจถึงเวลาจะมีเกม “แกงเด็ก” คนแก่งัดเหลี่ยมสับขาหลอกม็อบราษฎรอีกหรือไม่ โดยเฉพาะท่าทางไม่น่าไว้วางใจของเหล่าไอ้ห้อย ไอ้โหน ที่แฝงอยู่ในทีมพลัง-ประชารัฐกับขบวนการ “ส.ว.ลากตั้ง”ดันสุดซอย ไม่ยอมสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ง่ายๆและถ้าเลือกลุยไฟ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ขุมอำนาจ 3 ป.ก็ต้องพร้อมเผชิญกับภาวะสุ่มเสี่ยง แบบที่นายชวนต้องสั่งเตรียมมาตรการรองรับกลุ่มผู้ชุมนุมที่จะมาติดตามการประชุมรัฐสภา ตามที่ ส.ว.แสดงอาการกังวล ร้องขอให้ประชุมสภาช่วงกลางวันแทนกลางคืน เพราะแหยงโดนม็อบล้อมกรอบรู้คำตอบล่วงหน้า มโนเหตุการณ์อนาคตกันได้อยู่แล้ว.“ทีมการเมือง”