วังวน “ฤดูฝุ่น”...“รัฐบาล” กับความไม่ชัดเจน วังวนในการแก้ปัญหา “ฝุ่น PM2.5” สไตล์เต่าต้วมเตี้ยม เป็นเพราะไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็นความคุ้มค่า หรือไม่สนใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโดยตรง? ยังวนๆเวียนๆอยู่คู่ “คนไทย” เสมือนต้องช่วยตัวเองกันไปแบบตามมีตามเกิด...ตัวใครตัวมัน ปัจจัยสำคัญคือหน่วยงานรับผิดชอบในการแก้ปัญหาโดยตรง ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จยังไม่มี ถัดมาก็ข้อกฎหมายที่แยกส่วนเป็นแท่งๆไม่ได้บูรณาการแก้ปัญหางานฝุ่นได้อย่างบูรณาการ“การแก้ปัญหาต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้านด้วยกัน...นับตั้งแต่โครงสร้างการปกครอง โครงสร้างทางกฎหมาย ที่ต้องออกแบบใหม่” รศ.ดร.วิษณุ อรรถวาณิช อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกอีกว่า ผมทำงานกับโครงการอากาศสะอาดเชื่อเสมอว่าเราแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นเฉพาะแค่ภูเขาน้ำแข็งที่เห็นโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเท่านั้น ยังมีภูเขา...ปัญหาที่อยู่ใต้น้ำที่ไม่เคยแก้ ไม่เคยเตะต้องเลยเราไม่เคยแก้ปัญหาจากต้นเหตุ ต้นตอจริงๆแน่นอน...สิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าต้นตอไม่ถูกแก้ไขปัญหาก็ยังคงวนเวียน ปีนี้เกิดขึ้น ปีหน้าก็ยังมาต่อ ย้อนกลับไป...ไม่ได้ว่าภาครัฐนะ “ฝุ่น PM2.5” ถูกบรรจุว่าเป็น “สารอันตรายขั้นที่ 1” ตั้งแต่ปี 2553 แต่...ถามว่า “คนไทย” รู้เรื่องฝุ่น PM2.5 กันเมื่อไหร่?คำถามคือ...เกิดอะไรขึ้น ทำไม...ไม่ทราบ โดยเฉพาะไม่ทราบในเรื่องการเก็บข้อมูล งานวิจัยด้วย น่าสนใจว่าเมื่อนักวิจัยจะทำวิจัยในเรื่องนี้ ปรากฏว่า ประเทศไทยไม่เคยเก็บข้อมูลฝุ่น PM2.5 ทั่วประเทศเลย“...มีการเก็บแค่บางจุดเท่านั้น และมีการเก็บเมื่อสังคมเริ่มเห็นความสำคัญในช่วงปลายปี 2561 มองว่าเป็นสิ่งที่จะสะท้อนหรือเปล่า ในเรื่องของการบริหารจัดการ หรือนโยบาย ผู้บริหารเองให้ความสำคัญน้อยกับเรื่องสิ่งแวดล้อม”ต่อเนื่องไปถึงอีกมิติปัญหาสำคัญ “งบประมาณแผ่นดิน”...งบเพื่อป้องกันและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมคิดเป็นมูลค่าเท่าไหร่ พลิกข้อมูลดูอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้าน จากงบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งน้อยมากๆ ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่งบประมาณทางเศรษฐกิจ หรืองบความมั่นคงต่างๆมีสัดส่วนอยู่ที่ 5.6 แสนล้านบาท ตรงนี้ก็เห็นถึงความสำคัญแล้วว่า...สิ่งที่รัฐบาลทุ่ม ทุ่มไปที่ตรงไหน ทุ่มเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า สิ่งแวดล้อมหรือเปล่า อาจจะต้องกลับมาคิดกันใหม่ไหม โครงการต่างๆที่ภาครัฐจะทำเพื่อลดฝุ่นทุกรูปแบบงบหมื่นกว่าล้านนิดๆไม่ใช่ทำแค่เรื่องฝุ่น แต่รวมทั้งหมด น้ำเสีย ขยะ ฯลฯ ทั้งยังรวมไปถึงเงินเดือนประจำที่ต้องจ่าย...“เงิน” จริงๆที่จะเหลือไปใช้จ่ายแก้ปัญหาฝุ่นดูจะน้อยมากๆเมื่อเทียบกับปัญหาที่มีขนาดใหญ่มากรัฐบาลพูดถึงงบกลางเอามาใช้ ปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาเรื้อรัง ไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ต้องการหน่วยงานที่ดูแลประจำ ดังนั้นโครงสร้างงบประมาณต่างๆในอนาคตก็ต้องปรับให้มีลักษณะประจำไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวการแก้ไขจึงจะพลิกโฉม ไม่เหมือนในวันนี้ที่มีข่าว “ฝุ่น” มาก็จะมีข่าวเตือน พอฝุ่นหายก็ไม่มีการประชาสัมพันธ์ใดๆเลย พอปีหน้าฝุ่นกลับมาอีกก็เป็นอย่างนี้อีกหรือเปล่า? ในต่างประเทศที่ทำกัน มีการสื่อสาร สอนเด็กๆตั้งแต่ระดับอนุบาล ถ้าเกิดเจอฝุ่นจะปฏิบัติตัวอย่างไร ป้องกันอย่างไรบ้าง แล้วก็ไม่ได้ประชาสัมพันธ์เฉพาะช่วง แต่ทำตลอดทั้งปีต่อเนื่อง ไม่เห็นในบ้านเรานะ... มาทีทำทีเฟซบุ๊กส่วนตัว “Witsanu Attavanich” โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม เวลา 10.34 น.“ชาวกรุง”...เตรียมรับมือฝุ่นพิษ PM2.5 (สารก่อมะเร็งกลุ่ม 1) เร็วๆนี้!! (คืนนี้และพรุ่งนี้เช้า) ส่วนหนึ่งเกิดจากกิจกรรมการเผาในที่โล่งแจ้งภาคเกษตรรอบๆกรุงเทพฯ ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภาพที่ 1...บ่งชี้ว่าจุดความร้อนรอบๆกรุงเทพฯ กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ 22-24 ต.ค. หากไม่มีการจัดระเบียบการเผาที่ดี หรือการแก้ปัญหาที่ดี ชาวกรุงจะได้เผชิญกับฝุ่นพิษในระดับอันตรายมากต่อสุขภาพเร็วๆนี้ภาพที่ 2 และ 3 บ่งชี้ว่าคืนนี้ตั้งแต่ช่วงค่ำถึงพรุ่งนี้เช้าค่าฝุ่นพิษจะเพิ่มสูงในระดับอันตรายต่อสุขภาพ ใส่หน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่นพิษ N95 ก่อนออกจากบ้านนะครับ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเด็ก สตรีมีครรภ์ และคนสูงอายุ หน้ากากธรรมดาป้องกันได้น้อยมาก รักษาสุขภาพนะครับ #AirPollution #Comeback“ปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน ดูเหมือนว่านโยบายก็มี แผนก็มีเรียบร้อย เพียงแต่ว่าการปฏิบัติเท่านั้นที่ยังขาดการส่งผ่านลงมาข้างล่าง” รศ.ดร.วิษณุ ว่ามองโลกในแง่ดี...วันนี้ “ภาครัฐ” ก็ดูจะแอ็กทีฟกระตือรือร้นมากขึ้นทุกภาคส่วนต้องช่วยกันกระตุ้น ช่วยกันแสดงพลังที่จะแก้ไข รศ.ดร.วิษณุ ย้ำอีกว่า ปัญหาเรื่องฝุ่นภาครัฐบาลต้องให้ความสำคัญมองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนเยอะๆ เมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ของภาคเอกชน ทุกนโยบายที่รัฐบาลตัดสินใจช่วยเอกชนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการชะลอการใช้มาตรฐานต่างๆ... “น้ำมันยูโร 4” มาเป็น “ยูโร 5” เมื่อตัดสินใจอย่างนี้แล้วเอาประชาชนมาคุยด้วยหรือเปล่า ปรึกษาประชาชนไหม หรือ...จะทำอะไรให้ “ประชาชน” ได้มากขึ้น พูดง่ายๆก็คือต้องทั่วถึงอีกมิติหนึ่งก็คือการช่วยเหลือ ส่งผ่าน...“คนไทย” กับช่องว่าง “ความเหลื่อมล้ำ” นับวันก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางปัญหาวิกฤติฝุ่นจิ๋วพิษ PM2.5 ก็เช่นกันเมื่อฤดูฝุ่นใกล้จะกลับมาหาชาวกรุงฯ อีกครั้ง ทายกันสิครับว่าชาวกรุงเทพฯ ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 เท่าไหร่ในปีที่ผ่านมา?...คำตอบคือ 6,124.89 บาทต่อครัวเรือนต่อปีหากนำไปพิจารณาร่วมกับจำนวนครัวเรือนในกรุงเทพฯ ปี 2562 จำนวน 2,837,360 ครัวเรือน ที่ระบุว่าได้ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่นพิษ คิดจากร้อยละ 93.3 ของจำนวนตัวอย่างทั้งหมดผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนทางสังคมที่ชาวกรุงเทพฯ ต้องควักจ่ายเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 ในฤดูฝุ่นพิษ ปี 2562/2563 ที่ผ่านมาจะมีค่าสูงถึง 17,379 ล้านบาทต่อปี “คนชั้นกลาง”...พอมีกำลัง มีฐานะหน่อยก็ซื้อหน้ากากป้องกันได้ แต่คนที่ยากจนอยู่ในชุมชนแออัด นอกจากไม่มีเงินซื้อแล้ว หนักหนาสาหัสถึงกับขั้นที่ว่ายังไม่มีเวลาที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าต้องเผชิญกับปัญหานี้“ไม่มีเงินซื้อหน้ากาก แค่ซื้อข้าวก็แย่แล้ว...ความรู้ก็ไม่มีเรื่องฝุ่น แทบจะไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องทำมาหากิน จริงๆแล้วคนทุกคนถ้าเขารู้ เชื่อได้เลยว่าจะต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง เพราะกลัวตายกันทุกคน”บางทีสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงเพราะเขาไม่รู้ว่ามีอันตรายจากฝุ่น PM2.5 หรือเปล่า?“ไม่รู้...มัจจุราชมืดก็คืบคลานเข้ามาในชีวิตอย่างลอยนวล”“รัฐบาล” ควรที่จะต้องให้ความสำคัญกับคนกลุ่มล่างมากขึ้นทั้งมิติด้านการช่วยเหลือสนับสนุนหน้ากากอนามัยที่มีมาตรฐานอย่างเพียงพอ ให้นึกถึง “สวัสดิการ” ที่ “คนระดับล่าง” จะได้รับ“รัฐบาล”...ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกว่า...“ปัจจุบัน”การแก้ปัญหา “ฝุ่น PM2.5” จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความจริงจังจริงใจของ “รัฐบาล” เห็นใจเอื้อประโยชน์ภาคธุรกิจ นายทุน มากหรือน้อยกว่าประชาชนคนไทย ที่สำคัญ...อย่าให้ใครมาเดินขบวนประท้วงเรื่องฝุ่นๆได้ว่า...“รัฐบาลทิ้งคนไทยไว้ข้างหลัง”.