คุณทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนฯ เพิ่งจัดงานประชุม ใหญ่ประจำปี 2563 ไปเมื่อวันจันทร์ในหัวข้อ “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” สรุปผลการพัฒนาประเทศจาก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (2561-2565) ซึ่งอยู่ในยุครัฐบาล คสช.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีพอดี เห็นตัวเลขเศรษฐกิจแล้วก็อ่อนแรง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2550–2563 (อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. 6 ปี) หนี้สินครัวเรือนคนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ในระดับสูงสุด 80% ของจีดีพีในปัจจุบันจีดีพีไทยปี 2562 อยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท หนี้สินครัวเรือนไทย 80% ต่อจีดีพีก็ตก 13.6 ล้านล้านบาท เฉลี่ยคนไทยเป็นหนี้ครัวเรือนละ 2 แสนบาท มากโขทีเดียวยิ่งน่าตกใจเมื่อ คุณทศพร เปิดเผยว่า ความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนก็เพิ่มขึ้นสูงมาก คนมีรายได้สูง 10% มีรายได้มากกว่าคนที่มีรายได้ตํ่าสุดถึง 20 เท่า สะท้อนถึง การกระจุก ตัวของรายได้ในกลุ่มบน การแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็ยังไม่ทั่วถึงไปสู่คนกลุ่มล่าง ด้านการศึกษาก็พบว่า ลูกคนรวยมีโอกาสเรียนต่อปริญญาตรีสูงถึง 65.6% แต่ลูกคนจนมีโอกาสเรียนต่อปริญญาตรีเพียง 3.8% เท่านั้น ทั้งที่งบประมาณการศึกษาได้รับมากสุด ทุกปี และยังมีกระทรวงศึกษามากที่สุดในโลกถึง 2 กระทรวง คือ กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ แต่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของไทยกลับห่วยไม่แพ้ประเทศยากจนในทวีปแอฟริกา?คุณทศพร เปิดเผยอีกว่า คนจนที่มีรายได้ตํ่ากว่าเส้นยากจนในปี 2561 มี 9.85% หรือ 6.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.4 ล้านคนจากปี 2560 โดยตั้งข้อสังเกตว่า สัดส่วนคนจนที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจาก เทคโนโลยีดิสรัปชัน สงครามการค้า และ เศรษฐกิจโลกตกต่ำตัวเลขคนจนของสภาพัฒนฯ 6.7 ล้านคน ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้อง หรือไม่ เพราะตัวเลขผู้ใช้ “บัตรคนจน” หรือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่กระทรวงการคลังแจกเงินให้ทุกเดือนนั้น มีประมาณ 14 ล้านคน มากกว่าตัวเลขของสภาพัฒนฯถึง 2 เท่าเลยทีเดียวข้อมูลประเทศไทยที่ คุณทศพร เลขาธิการสภาพัฒนฯ แถลงมาทั้งหมด เป็นผลงานของรัฐบาลก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 แต่ “ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด” ท่านเลขาธิการสภาพัฒนฯกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะต้องเจอกับสภาวะ “3 สูง 3 ตํ่า” โดย 3 สูง ก็คือ อัตรา การว่างงานสูง หนี้สาธารณะสูง หนี้ภาคเอกชนสูง ส่วน 3 ตํ่า ก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตํ่า อัตราเงินเฟ้อตํ่า อัตราดอกเบี้ยตํ่า ใครจะรอดใครจะไปก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะโยมหนี้สาธารณะ ที่รัฐบาลกู้มาใช้จ่ายตลอด 6 ปีใน รัฐบาล คสช. วันนี้กำลังท่วมคอหอย คุณทศพร เปิดเผยว่า ก่อนโควิดหนี้สาธารณะอยู่ที่ 40% ของจีดีพี ปีนี้ 2563 หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 47% ของจีดีพี และ ปีหน้า 2564 หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นเป็น 57% ของจีดีพี อีก 3% ก็ชนเพดาน 60% ที่กฎหมายกำหนดว่าห้ามเกิน แต่ เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศให้ดีกว่านี้ไม่ได้ ผมเชื่อว่าจะมีการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ให้สูงขึ้นไป สุดท้ายอนาคตประเทศไทยหลัง โควิดจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่เหนือการคาดเดา ขนาด รัฐมนตรีคลัง ผ่านมาค่อนเดือน ก็ยังหาคนมาเป็นรัฐมนตรีคลังไม่ได้แล้ว อนาคตคนไทย 68 ล้านคนหลังโควิดจะเป็นอย่างไร ต้อง ไปคิดกันเอาเอง“จุดอ่อน” ที่ ทำให้ประเทศไทยพัฒนาไม่ได้ เกิดจากการสร้าง “รัฐราชการ” ของ คสช. เพื่อครอบงำ “ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ” ในปัจจุบัน แม้จะเห็นโอกาสอยู่ข้างหน้าก็ยากที่จะไปถึง เพราะมี “ระบบรัฐราชการ” เป็นด่านสกัด ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสมากมาย และคนไทยก็เสียโอกาสกันทุกคน เป็นผลกระทบระดับชาติเลยทีเดียวนะครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”