คดี “บอส อยู่วิทยา” บาน “บิ๊กแป๊ะ” ล้อมคอก สั่ง ผบช.ภ.1-9 เข้าไปดูแลคดีสำคัญและคดีที่ประชาชนสนใจ ถึงแม้มอบอำนาจให้คนอื่นดูแลแล้ว สามารถเข้าไปควบคุม ตรวจสอบ ติดตามกำกับดูแล สนับสนุนให้ปรึกษาการทำความเห็นชอบ หรือความเห็นแย้งในคดีอาญาตามที่เห็นสมควรส่วนแนวทางของคณะกรรมการสอบสวนคดีบอสฝ่ายตำรวจ กำชับให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ยึดพยานหลักฐาน เพื่อตอบคำถามข้อสงสัยของสังคมให้ได้ ด้านกรณี “เนตร นาคสุข” ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ แต่ อสส.ยังไม่ได้เซ็นคำสั่งอนุมัติ “สมบัติ วงศ์กำแหง” กก.เนติบัณฑิตฯให้ความเห็น อาจเป็นเทคนิคเลี่ยงการถูกตั้งกรรมการสอบวินัย เพราะมีผลกับบำเหน็จบำนาญกรณีสำนักข่าวต่างประเทศตีแผ่ข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา อายุ 31 ปี กรณีขับรถสปอร์ตเฟอร์รารีชนรถ จยย. ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตบนถนนสุขุมวิท เหตุเกิดเมื่อเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย.2555 แล้วหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศจนถูกออกหมายจับ รวมทั้งออกหมายแดงตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) หลังการสั่งคดียืดเยื้อมากว่า 7 ปี ความผิดบางข้อหาหมดอายุความไปแล้ว เหลือแต่คดีหลักขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องโดยตำรวจไม่มีความเห็นแย้งอย่างเงียบๆ ทำให้นายวรยุทธกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังความแตกสร้างกระแสความไม่พอใจให้คนในสังคมอย่างรุนแรง จนหน่วยงานอัยการ ตำรวจ รวมไปถึงรัฐบาล ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคดีที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขคดีที่เกิดขึ้นตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นความคืบหน้าจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ส.ค. พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ฐานะโฆษก ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ว่าคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะต้องสรุปผลการดำเนินการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องการสอบสวนคดีนี้เสนอ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เป็นผู้พิจารณา คณะกรรมการจะต้องเสนอแนวทางดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องตั้งแต่การสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน อยู่ระหว่างการพิจารณา จะมีผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎหมายและวินัยเข้าร่วมพิจารณาตรวจสอบเรื่องนี้ ผบ.ตร.มีคำสั่งกำชับให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจบกพร่อง ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับกฎหมาย รายละเอียดขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการก่อนเสนอความเห็นให้ ผบ.ตร.มีคำสั่งลงมาให้แต่ละฝ่ายดำเนินการอย่างไร ขอยืนยันว่าคณะกรรมการสอบสวนดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ยึดพยานหลักฐาน เพื่อตอบคำถามข้อสงสัยของสังคมให้ได้โฆษก ตร. กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องนี้ ผบ.ตร.ให้ความสำคัญกับงานกฎหมายและคดี โดยเฉพาะการทำความเห็นแย้งในคดีอาญา เป็นขั้นตอนหนึ่งในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และมีความสำคัญส่งผลต่อการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ต้องควบคุม กำกับดูแล และติดตามผลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด ผบ.ตร.มีหนังสือกำชับการสอบสวนและการทำความเห็นในคดีอาญาไปยังทุกหน่วยทั่วประเทศ ให้ ผบช.ภ.1-9 ควบคุม ตรวจสอบ ติดตาม กำกับดูแล รวมทั้งสนับสนุนให้ปรึกษาการทำความเห็นชอบ หรือความเห็นแย้งในคดีอาญาตามอำนาจหน้าที่ของผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือเป็นผู้รับผิดชอบ หากเห็นว่าเป็นคดีที่มีความสำคัญ หรือได้รับความสนใจจากประชาชนในวงกว้าง ผบช.ภ.1-9 อาจพิจารณามีความเห็นทางคดีด้วยตนเองตามที่เห็นสมควร การมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจไปแล้ว ยังถือว่าผู้มอบอำนาจมีหน้าที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่เห็นว่าผู้รับมอบอำนาจปฏิบัติราชการในเรื่องใดไม่สมควร ให้มีอำนาจแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจนั้นได้ ส่วนกรณีนายเนตร นาคสุข ยื่นใบลาออกต่อนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อแสดงสปิริต มีแนวคิดว่าแท้จริงเป็นการชิงลาออกก่อนถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย เพราะหากถูกตั้งกรรมการสอบวินัยจะมีผลต่อบำเหน็จบำนาญและเกียรติประวัติการรับราชการ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าที่ พ.ต.ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการบริหารเนติบัณฑิตยสภากล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีใครพูด เพราะพูดแล้วมันสะเทือน แม้ตนไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่กล่าวได้คร่าวๆว่า การตั้งกรรมการลงโทษทางวินัย ต้องในขณะที่ข้าราชการผู้นั้นยังมีสถานะข้าราชการอยู่ ถ้าสอบแล้วผิดจริงจะมีโทษทางวินัย และกระทบต่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ ถ้าไม่ผิดก็ไม่พ้นโทษทางวินัยไป แต่โทษทางวินัยแยกออก ต่างกับการลงโทษทางอาญาถ้าครบองค์ประกอบความผิด และทางแพ่งที่ต้องดำเนินต่อไป นายเนตรลาออกก่อนจะตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยไม่ได้ ถ้าตั้ง กก.ลงโทษทางวินัยแล้ว แม้ลาออกกลางคันต้องดำเนินการทางวินัยต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ถึงบัดนี้สำนักงานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ยังไม่เห็นคำสั่งอนุมัติให้นายเนตรลาออกแต่อย่างใด