18 มี.ค.วันครบ “60 ปีท่องเที่ยวไทย” คงไม่มีทัวริสต์ จากทั่วโลกมาร่วมเซเลเบรต ให้ตัวเลขโต 40.78 ล้านคน กับรายได้ 2.03 ล้านล้านบาท ตามแผนปี 2563?เพราะถูกพิษไวรัส “โควิด-19” จากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เล่นงานก่อน 31 ธ.ค. จนนายสี จิ้นผิง ต้องชัตดาวน์คนจีนออกนอกประเทศ ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ชาวโลกบวกกับห้ามบริษัทนำเที่ยวจีนขายบริการช่วง ม.ค.- มี.ค. หรืออาจนานกว่านั้น ด้วยองค์การอนามัยโลก (WHO) แจ้งต้องค้นคว้าหาวัคซีนมารักษานานถึง 18 เดือน ขณะจีนยืนยัน 3 เดือนเอาอยู่โมเมนต์นี้ตามที่รู้ๆกัน “จีน” เป็นตลาดท่องเที่ยวระดับบิ๊ก มีคนออกเที่ยวนอกประเทศปีที่แล้ว 166 ล้านคน ผลกระทบนี้ทำเอาชาติคู่ค้าจีนพากันล้มระเนระนาดตามทฤษฎีโดมิโน นับรวมถึงไทย...ที่ยึดรายได้ท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลัก พัฒนาเศรษฐกิจประเทศคู่ส่งออก และเลือกฝากผีฝากไข้กับตลาดจีนตามสถิติปีที่แล้วมาเที่ยวไทย 11 ล้านคน จากต่างชาติ 39 ล้านคนโดยไม่สนใจตลาดอื่นไว้เผื่อเหนียว ยาม “ตึ่งหนั่งเกี้ย” สะดุดขาตัวเองล้มลงเช่นวันนี้กระนั้น...“ดวงชง” ท่องเที่ยวไทยปีนี้ ไม่ได้อุบัติเฉพาะกับตลาดจีน แต่ยังกระจายไปค่อนโลก 24 ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ยุโรปมีอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ซึ่งล้วนเป็นตลาดสำคัญแนวหน้าไทยทั้งนั้น แต่กลับมีผู้ติดเชื้อใกล้หลัก 1 แสนคน ตายเฉียด 2 พันรายในเร็ววันนี้แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า...สถิติดังกล่าวจะหยุดนิ่งวันใด?นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ผู้คนส่วนใหญ่ที่ถูกพิษโควิด-19 พ่นใส่ ชะลอการเดินทางเสี่ยงกับชีวิตตนเอง...ยิ่งรู้ด้วยว่า ณ วันนี้ ตัวเลขเมืองไทยมีผู้ติดเชื้อ 35 ราย ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำซ้ำบรรยากาศท่องเที่ยว“ไทย...คือเมืองต้องห้าม” ไม่มีคำว่า “พลาด” พ่วงท้าย!ผู้สันทัดกรณีคลุกคลีในแวดวงการท่องเที่ยวไทยทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชนมานานกว่า 50 ปี ฉายภาพให้ฟัง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “แล้วบัดดล...ทัวริสต์ต่างชาติก็หายวับไปจากแผ่นดินไทย สถานประกอบการจึงต้องพากันปิดตัวเอง ลอยแพแรงงานบริการไปตามยถากรรมนับล้านคนทั่วประเทศอย่างที่เห็นตามข่าวและไม่เป็นข่าว”วิกฤตินี้...“กระทรวงสาธารณสุข” ได้ชื่อว่าคือหน่วยงานตั้งรับที่ยอดเยี่ยมทว่ามุมกลับกัน...ข่าวการแพร่ระบาดเกิดขึ้นเมื่อ 31 ธ.ค. ปลายปีที่แล้ว แต่รัฐบาลเชียงกงเพิ่งจะคิดแก้ผลกระทบท่องเที่ยวในคราวประชุม ครม. วันที่ 4 ก.พ. แล้วได้มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่กำลังชีช้ำ โดยนำวิธีการเงินการคลังมาช่วยลดหย่อนกับขยายเวลาชำระภาษีประจำปีให้พร้อมเตรียมงบฯสนับสนุนการต่อเติม หรือซ่อมแซมธุรกิจในอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งส่งเสริมรัฐและเอกชนจัดประชุมสัมมนาในประเทศ จะได้ลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าจากที่จ่ายจริงแนวคิดนี้ดูดี...แต่ถ้าถามว่า “ระยะยาว” รัฐฯมีแผนรองรับหลังสถานการณ์คลี่คลาย เพื่อฟื้นฟูบรรยากาศท่องเที่ยวรึยัง? ตอบได้เลยว่า...ยังไม่มีอะไรให้จับต้องได้องค์กรหลัก...คือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เคยโด่งดังเรื่องจะขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการ และจะนำเงินภาษีมาแจกทัวริสต์ต่างชาติ ได้ชิม ช็อป ใช้ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจไทยล่าสุดจัดอะเมซิ่งวิ่งมาราธอน ผ่ากลางกรุงพร้อมจุดพลุตอนตี 3 แค่นี้ก็ขำพออยู่แล้ว... จึงอยากให้ดูยุทธการแก้วิกฤติโควิด-19 เมื่อ 13 ก.พ. ที่เชิญภาครัฐกับเอกชนมาประชุมเชิงปฏิบัติการ “เพื่อแก้ไขและรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวยั่งยืน”วันนั้น...หลักใหญ่เหมือนฉายหนังม้วนเก่าซ้ำ เรื่องมาตรการการเงินการคลังมาต่อยอดอีกครั้ง โดยไร้ซึ่งบทสรุปถึงการพัฒนาสินค้าแปลกใหม่ เพื่อเตรียมการรับกับตลาดที่จะกลับมาด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บทบาทแรกที่ซีอีโอแสดงวิสัยทัศน์ เมื่อ 27 ม.ค. บอก 3 เดือนที่สี จิ้นผิง ชัตดาวน์ จีนจะหาย 1.89 ล้านคน เงินหล่นอีก 5 หมื่นล้านบาทจากแผนปีนี้ซึ่งเขียนไว้ 40.78 ล้านคน ทำรายได้ 2.03 ล้านล้านบาท แต่เงินจะหล่นคนจะหดยังไง...ททท.ก็จะเสกให้ได้ปีนี้ 41.8 ล้านคน ทำเงิน 2.22 ล้านล้านบาท...เอากับพี่สิ!จากนั้น...เหมือนรู้อนาคตถึงรีบกลับลำแก้ต่างเมื่อ 8 ก.พ. บอกได้ปรับลดตัวเลขต่างชาติลงเหลือ 36 ล้านคน ติดลบ 9.5% รายได้เหลือ 1.78 ล้านล้านบาท ติดลบ 3.4%...ไหมล่ะ!ส่วนแผนฟื้นฟูไม่รู้นักการตลาดมืออาชีพจะเป่ามนตร์บทใดให้ทุกตลาดรับทราบ “ไทย” คือ “แดนปลอดโรค” และพร้อมสร้างแรงจูงใจ ด้วยการเสนอขายธุรกิจบริการด้วยราคาต่ำกว่าปกติมีอีเวนต์น่าสนใจเพื่อเพิ่มมูลค่าการมาเยือน...นี่เป็นเพียงสิ่งคาดหวังที่ยังไม่ปรากฏด้านสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมฯ “ทีเซ็บ” ที่รัฐบาลหงายการ์ดสนับสนุนให้มีการจัดประชุมสัมมนาในประเทศ แล้วสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า จากที่จ่ายจริงจนวันนี้...ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่ทีเซ็บมาที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวฯ “อพท.” ค่ายเดียวกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่หมั่นขยันใช้เงินหว่านพื้นที่ท่องเที่ยวประเภทชุมชนมาแล้วมากมายยามบาดแผลท่องเที่ยวกำลังตกสะเก็ด ผู้ขายกลุ่มท่องเที่ยวชุมชนหวังได้ อพท.มาช่วยกู้สถานการณ์ โดยชูโปรดักส์มหกรรมท่องเที่ยวชุมชนเป็นจุดขาย แต่ไม่มีการขานรับใดๆเกิดขึ้น หนทางแห่งความสำเร็จในการคิดแก้มรสุมท่องเที่ยวดูช่างมืดมนจากบทบาทแต่ละหน่วยงานที่ต่างสำรวมอาการ “เฉื่อย” และปราศจากเอกภาพการบูรณาการงานร่วมกันอย่างน่าเสียดายสุดท้าย...โฟกัสที่ภาคเอกชนคนทำธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งตกผลึกเป็นองค์กรมุ้งเล็กมุ้งใหญ่เต็มไปหมด และนับวันจะทวีความเป็น “เหาฉลาม” เกาะติดภาครัฐที่ทิ้งเศษงบประมาณให้ แล้วยังมี “ที่นั่ง” ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ หรือที่ปรึกษาคนในกระทรวงเป็นรางวัลให้อีกต่างหากคนอาชีพนี้จึงคิดแก้ “วิกฤติ” ให้เป็น “โอกาส” ตามสัญชาตญาณ “พ่อค้า” รีบขอรัฐฯสนับสนุนงบฯ 1 แสนล้านบาท เป็นทุนหมุนเวียนให้ธุรกิจเกิดสภาพคล่องหลังพิษโควิด-19อนิจจา...น่าห่วงที่อนาคตท่องเที่ยวไทยถึงคราวติด “กับดัก” เพราะไร้เอกภาพจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยกันกู้วิกฤติอันใหญ่หลวงครั้งนี้ให้สำเร็จ...วังเวงสิ้นดีทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นดัชนีชี้วัดแรงเฉื่อย...“โควิด–19” หั่นเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี.