จากความต้องการของตลาด “ยานพาหนะบินได้” ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านประเมินไว้ว่า ภายในช่วงกลางทศวรรษหน้าจะมีมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 60,000 ล้านบาท ทำให้เห็นเอกชนหลายแห่งต่างเผยโฉมหน้าตายานไฮเทคนี้ไม่ว่าจะเป็น บริษัท อีฮัง ของจีน และบริษัท เอฟเอซีซีของออสเตรเลีย เปิดตัวด้วยใบพัด 16 ก้านของอากาศยานไร้คนขับ บรรทุกผู้โดยสารได้ 2 คน บินได้ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. และบินได้นานครึ่ง ชม. คาดว่าจะเริ่มให้บริการผู้โดยสารทั่วโลกได้มากถึง 100,000 คันภายในปี 2568 หรืออย่าง สตาร์ตอัพ Lilium จากเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี ซึ่งผลิตเป็นเจ้าแรกของโลก ก็เดินหน้าทดลองบินไปแล้วทั่วโลก เพราะตั้งเป้าไว้ในปีเดียวกับบริษัท อีฮัง และเอฟเอซีซี ด้วยสมรรถนะที่บินได้เร็วสูงสุด 300 กม./ชม. เร็วกว่าแท็กซี่บนท้องถนน 4 เท่า ขับเคลื่อนได้ถึง 300 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แล้วยังยืนยันว่า ในระยะทางที่เท่ากันใช้พลังงานเทียบเท่ารถไฟฟ้า หรือเรียกง่ายๆก็คือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าเมื่อนำมาให้บริการเป็นขนส่งมวลชนจะมีค่าโดยสารไม่แพงจนแข่งขันกับแท็กซี่ตามท้องถนนได้บริษัท อูเบอร์ ก็ไม่ยอมนิ่งเฉยกับช่องทางการตลาดนี้ โดยไปร่วมกับ องค์การนาซา ตั้งเป้าเร็วกว่าคือในปี 2566 ด้วยการบริการรถไฟฟ้าที่เรียกว่า uberAIR บินขึ้นลงได้ในแนวตั้งเหมือนเฮลิคอปเตอร์ ทำความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม. ด้วยความสูง 300-600 ม. วิ่งได้ 96 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยสารได้สูงสุด 4 คน นี่ยังไม่รวมตลาด “ยานพาหนะไร้คนขับ” ที่หลายๆประเทศเริ่มส่งเสริมเทคโนโลยีนี้ ดังเช่นนครดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ตามข้อมูลขององค์การคมนาคมและถนน (RTA) เผยว่า ทุกๆ 2 คนจะมีรถใช้มากกว่า 1 คัน ถือว่าครอบครองรถต่อหัวมากกว่าชาวนครนิวยอร์ก ชาวกรุงเบอร์ลิน และชาวลอนดอนเนอร์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ UAE ติด 10 อันดับของประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อหัวมากที่สุดในโลก กลายเป็นปัญหาที่เจ้าหน้าที่รัฐพยายามหาทางเลือกใหม่ๆให้กับประชาชนในการใช้รถใช้ถนน โดยดูตัวอย่างจากสิงคโปร์หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งตามหัวเมืองใหญ่เริ่มเสาะหาเทคโนโลยีการขนส่งแนวใหม่เพื่อลดการแออัดบนท้องถนนและการปล่อยก๊าซคาร์บอน ด้วยการใช้งบประ-มาณเกือบ 100,000 ล้านเดอร์แฮม หรือราวๆ 816,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟฟ้า รถรางและรถบัสโดยสารมาตั้งแต่ปี 2548ถึงเวลานี้ได้เวลาทดสอบประสิทธิภาพ “โดรนแท็กซี่” กับ “ห้องโดยสารไร้คนขับ” หวังให้ประชาชนเลิกขับรถแล้วมาใช้บริการขนส่งมวลชนไฮเทคนี้แทน โดยยานพาหนะทรงลูกบาศก์ ขนาด 6.5 ตร.ม. ดูแล้วเหมือน “ห้องติดล้อ” ซึ่งผลิตโดยบริษัท NEXT Future Transportation สำนักงานอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ มากสุด 10 คน แต่ละยานเชื่อมติดกันได้เวลาขับเคลื่อนผู้โดยสารสามารถเดินไปเดินมาในแต่ละยานได้ ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 90 กม./ชม. นอกจากนี้ ภายใน “ห้องติดล้อ” ยังสามารถเพิ่มบาร์ ห้องน้ำ จุดเช็ก-อินสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางไปสนามบิน ทั้งหมดนี้จะช่วยลดการจราจรได้มากถึง 50% รวมถึงอุบัติเหตุและมลภาวะ โดยจะเริ่มกำลังการผลิตขนานใหญ่ภายในสิ้นปีหน้า แต่ปัจจุบันมีพร้อมใช้งานแล้ว 4 คันสำหรับบรรทุกผู้โดยสารภายในงาน Dubai 2020 Expoก่อนนี้ เมื่อปี 2560 นครดูไบก็ได้เปิดตัวเป็นเมืองแรกของโลกที่ให้บริการโดรนแท็กซี่ ด้วยลักษณะคล้ายเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กนั่งได้ 2 คน ซึ่งเป็นของบริษัท Volocopter จากเยอรมนี มีให้บริการ 1,000 ลำ ขึ้นลงตามจุดอย่างน้อย 30 แห่งทั่วเมือง สามารถเคลื่อนย้ายคนได้ ชม.ละ 10,000 คน นายอเล็กซานเดอร์ โซเซล ผู้ร่วมก่อตั้ง Volocopter เผยว่า ต้นทุนการขับโดรนแท็กซี่จะเทียบเท่ารถแท็กซี่ที่วิ่งบนท้องถนน เพื่อให้ทุกคนได้ใช้บริการ ซึ่งก็เป็นไปตามจุดประสงค์ของนายมัตตาร์ อัล-ทาเยอร์ ผู้อำนวยการทั่วไปของ RTA ที่ต้องการให้นครดูไบกลายเป็นเมืองอัจฉริยะที่สุดในโลก และเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุมได้เกือบหมดภายในปี 2568 ซึ่งเพิ่มจากปัจจุบัน 17%มองเห็นอนาคตระบบขนส่งมวลชนขนาดนี้เรียกได้ว่า...ของมันต้องมีจริงๆ.@เจ๊หม่า