เมื่อวานนี้เองผมอ่านพบในหน้าข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ว่า จังหวัดที่ยากจนที่สุดของประเทศไทยในขณะนี้ ได้แก่ จังหวัดน่าน กับแม่ฮ่องสอน โดยน่านจนที่สุด และแม่ฮ่องสอนรองลงมาจากการศึกษาวิจัยของศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจฐานรากของธนาคารออมสินที่เกาะติดในเรื่องการวิจัยเรื่องความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทย และความยากจนของคนไทยมาหลายปีแล้วผมอ่านข่าวนี้แล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้น 2 ประการ ขออนุญาตนำมาแสดงความเห็นเพิ่มเติมในวันนี้อย่างแรกก็คือ ก็ขอแสดงความยินดีและชื่นชมต่อธนาคารออมสินที่พัฒนาตนเองจากธนาคารที่ดูทึนทึก หรือเชยๆในสมัยก่อน มาเป็นธนาคารที่ทันสมัยอย่างมากในยุคนี้ทันสมัยทั้งในแง่การให้บริการ และด้านวิชาการ...โดยเฉพาะด้านวิชาการถึงกับมีศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ออกมาให้ข้อมูลในเรื่องนี้ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่แพ้ศูนย์วิจัยของธนาคารอื่นส่วนความรู้สึกในประการที่ 2 ที่เป็นความรู้สึกที่ผมตั้งใจที่จะเขียนอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างจริงๆจังๆกันเสียทีถ้าผมจำไม่ผิด เพราะห่างเหินวงการมานานแล้ว จังหวัดแม่ฮ่องสอนกับจังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่ติดอันดับยากจนสูงสุดมาโดยตลอดในช่วงเวลา 30 ปีที่มีการพูดถึงความยากจนของจังหวัดต่างๆเป็นต้นมาแม้จะไม่ถึงจนที่สุด เพราะยุคโน้นจนที่สุดของประเทศได้แก่ ศรีสะเกษ แต่แม่ฮ่องสอนกับน่านก็จะอยู่ในอันดับล่างๆอยู่เสมอดังนั้น เมื่อมาอ่านข่าวพบว่า จากการศึกษาวิจัยของธนาคารออมสินทั้ง 2 จังหวัดนี้ยังคงยากจนอยู่แม้ในปัจจุบัน แถมกลายเป็นจนที่สุดของประเทศไปเสียอีกด้วยก็รู้สึกใจหายเท่าที่ผมติดตามแนวทางการพัฒนาของรัฐบาลไทยชุดต่างๆมาตลอดก็พบว่ารัฐบาลทุกยุคมิได้ทอดทิ้ง 2 จังหวัดนี้แต่อย่างใดแต่อาจจะเป็นเพราะพัฒนาแบบไม่มีจุดเน้น และขาดคนดัง ที่จะเป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” ในการเป็นผู้นำการพัฒนาระดับจังหวัด ช่วยภาคราชการอีกแรงหนึ่ง จึงทำให้การพัฒนาไม่กระเตื้องขึ้นยกตัวอย่างจังหวัด บุรีรัมย์ ซึ่งเมื่อก่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดยากจนอันดับล่างๆเหมือนกัน แต่พอ คุณเนวิน ชิดชอบ หันหลังให้การเมืองลงไปเป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” ของบุรีรัมย์เท่านั้นเองบุรีรัมย์ วิ่งฉิวปลิวลมเลยครับ มีทั้ง บุรีรัมย์ยูไนเต็ด ทั้งสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต สำหรับใช้แข่งรถมอเตอร์ไซค์ระดับโลก อย่าง MOTO GP ในขณะนี้ และจะมีอะไรตามมาอีกมากเชียงราย ก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่อาจจะไม่ถึงกับจนมาก แต่ไกลๆออกไปก็จนพอสมควร พอได้ บุญรอด บริวเวอรี่ ไปเป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” ทำให้มีทั้ง สิงห์ปาร์ค เชียงราย และ สิงห์สเตเดียม เชียงราย และอีกหลายสิงห์ในจังหวัด ส่งผลให้เชียงรายดูกระฉับกระเฉงขึ้นทันตาเห็นจังหวัดน่านขอเวลาหน่อย เพราะเพิ่งได้ คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการธนาคารกสิกรไทย ไปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง จัดทำโครงการ น่านแซนด์บ็อกซ์ เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายป่าและเพื่อให้คนกับป่าอยู่กันได้อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีรายได้ร่วมกัน...อีกหน่อยคงจะทำให้ความยากจนของน่านคลี่คลายไปบ้าง หาก “น่านแซนด์บ็อกซ์” ได้ผลเป็นห่วงก็แต่ แม่ฮ่องสอน นี่แหละครับยังไม่ได้ยินเลยว่า จะมีใครยอมไปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ผมก็เสนอว่า ท่านมหาเศรษฐี ที่รวยมากๆของประเทศไทย ช่วยไปเป็น “หัวเรี่ยวหัวแรง” หน่อยได้ไหมขอให้มีบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีหรือหัวแรงในจังหวัดไว้ก่อนเถอะ ขนาดคุณเนวินแกไม่ได้รวยติดอันดับนิตยสารฟอร์บส์ แต่รู้จักคนเยอะยังสามารถดึงคนรวยไปช่วยจังหวัดแกอย่างได้ผลถ้า “แม่ฮ่องสอน” ได้เศรษฐีระดับต้นๆของประเทศไปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงซะเลย ผมว่าวิ่งฉิวกว่าบุรีรัมย์แน่นอนผมก็ขอเสนอทฤษฎีใหม่ “1 คนรวย–1 จังหวัดยากจน” เหมือนอย่าง “1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์” อะไรทำนองนั้น คือขอคนรวยมากของประเทศไปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการพัฒนาจังหวัดยากจนจังหวัดละ 1 คนเบื้องต้น ลองสัก 10 จังหวัดดูก่อนก็ได้เศรษฐีท่านใดจะทดลองทฤษฎีนี้ก็เชิญเลือกจังหวัดได้นะครับ...ไปขอบัญชีรายชื่อจากธนาคารออมสินได้เลย.“ซูม”