ผมเจอคำ เหลือบฝูงใหญ่ ในหนังสือสำนวนไทย ของอาจารย์กาญจนาคพันธุ์ ตั้งใจอ่านต่อ จึงรู้ว่าก็มีเรื่อง เหลือบฝูงใหม่ มากับนิทานแบบไทยๆด้วยเหลือบ เป็นแมลงชนิดหนึ่งรูปร่างคล้ายแมลงวัน แต่สิ่งที่เหลือบชอบรุมตอม คือ เลือดคนโบราณจึงเอาเหลือบมาเปรียบกับคนชั่วที่ใช้อำนาจทุจริตคดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง และเมื่อคนชั่วเหล่านี้รวมตัวกันมากๆ เป็นพวกเป็นพรรค ก็มักเรียก “เหลือบฝูงใหญ่”อาจารย์กาญจนาคพันธุ์ ยังเล่าถึง เรื่องเหลือบฝูงใหม่ เหลือบแบบไทยๆ คนละฝูงกับที่อีสปเล่าหนุ่มบ้านหนึ่งติดใจลูกสาวอีกหมู่บ้านหนึ่ง เทียวมาเทียวไปหลายครั้ง สาวก็ยังไม่ทันเออออ เขาก็ตัดสินใจ เข้าไปเอ่ยปากขอ จากพ่อของสาวซึ่งหน้า“ได้...” พ่อสาวพยักหน้า “แต่มีเงื่อนไข เจ้าต้องทนยุงกัดให้ได้หนึ่งคืน”หมู่บ้านของสาวได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ยุงชุมที่สุด เรื่องนี้ใช่ว่าเจ้าหนุ่มจะไม่รู้ แต่ความรักบวกกับความอยากแสดงน้ำอดน้ำทน ให้สาวเห็นเป็นประจักษ์ หนุ่มจึงยอมรับเงื่อนไขยอมให้พ่อสาวใช้เชือกมัดมือมัดเท้า นอนตากยุงอยู่ในบ้านครึ่งคืนผ่านไป ยุงรุมกัดเจ้าหนุ่มดำมืดไปทั้งตัว แต่เจ้าหนุ่มยังทนได้ พ่อสาวที่เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่หัวค่ำ ก็เข้ามุ้งหลับผล็อยไปแล้วส่วนสาวที่พ่อให้เข้านอนในห้อง นอนกระวนกระวายหลับไม่ลง แอบดูอยู่ครึ่งคืน ก็เริ่มเห็นใจเจ้าหนุ่ม พอแน่ใจว่าพ่อหลับ ก็ค่อยๆย่องออกมาเอาผ้าปัดไล่ยุงให้เจ้าหนุ่มไปจนหมด แล้วก็กลับเข้าห้องไปเรื่องก็เป็นเช่นเรื่องเหลือบในนิทานอีสป เมื่อเจ้ายุงฝูงเก่า ที่ตอมดูดเลือดเจ้าหนุ่มจนอิ่มหนำพุงป่องทุกตัวถูกไล่ไป ก็เป็นทีของยุงฝูงใหม่ ที่กำลังท้องหิวเข้ามารุมดูดเลือดแทนเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อและลูกสาวตื่นดูสถานการณ์ ผลปรากฏว่าเจ้าหนุ่มทนแรงดูดของยุงสองฝูงใหญ่ไม่ไหวขาดใจตายตัวแข็งทื่อไปแล้วนิทานเรื่อง เหลือบฝูงใหม่ แบบไทยๆ สอนให้นึกถึง ฝูงเหลือบฝูงยุง ที่มีมากมายในบ้านนี้เมืองนี้ผมดูข่าว คุณสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงทางช่องเฟซบุ๊ก ให้เอาผิดกับโรงพยาบาลที่ไม่ยอมรักษาผู้หญิงที่ถูกสามีสาดน้ำกรดใส่หน้า จนตายก่อนไปถึงโรงพยาบาลแห่งที่สองแล้วก็นึกถึงคำที่คุณสารีร้องขอให้ช่วยๆกันหนุนให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษา ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน เธอเชื่อเหมือนที่ผมเริ่มเชื่อ...หลายๆท่านกรรมการสภา...มักเล่นบท “ไม้เกาหลัง” กับท่านอธิการบดี ช่วยกันคนละมือคนละไม้ ผ่านโครงการใหญ่ที่ใช้เงินมากๆ ตั้งแต่ร้อยล้านไปถึงหมื่นล้านหลักคิดง่ายๆของผมก็แค่ มหาวิทยาลัย เลือกคนเก่งๆคนรวยๆมาเอาความรู้ช่วยสถาบันแล้ว ก็เมื่อแค่ความสามารถง่ายๆ แค่แสดงบัญชีทรัพย์สิน ยังทำไม่ได้ กลัวจะตกหล่น...ท่าน...แสดงอาการไม่ไหว...จะขอลาออก ก็ควรรีบๆให้ท่าน ออกไปเสียนี่คือโอกาสที่เปิดให้คนเก่งคนรวยพวกใหม่ได้เข้ามา คนเก่งคนรวยที่ผ่านบททดสอบบัญชีทรัพย์สินไปได้ คือคุณสมบัติด่านแรก ที่ควรให้มาทำงานสำคัญของสถาบันการศึกษาแต่การเลือกบอร์ดชุดใหม่ ก็ขอให้นึกถึงนิทานเรื่องเหลือบฝูงใหม่...เอาไว้บ้างเรื่องที่รู้ๆกัน เมืองไทยเราใช้เงินกับการศึกษา อยู่ในสัดส่วนอันดับบนๆ แต่ผลสัมฤทธิ์การเรียนของเด็กๆ กลับหล่นที่อันดับบ๊วยเหมือนจะอยากให้คิดว่า ที่รุมตอมเด็กๆกันอยู่ เป็นเหลือบฝูงใหญ่ไปเสียทั้งนั้น.กิเลน ประลองเชิง