วันนี้ขอพาแฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงาน นิตยสารต่วย’ตูน ไปเที่ยวเซนได (Sendai) กันค่ะ หากมองย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนไทยเรายังไม่ค่อยนิยมไปเซนได แต่ในระยะหลังๆเซนไดเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีเที่ยวบินบินตรงจากกรุงเทพฯไปถึงเซนได ทำให้นักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองนี้กันไม่น้อย และสถานที่ที่ขอนำท่านผู้อ่านไปเยือน คือ เนินเขาเคียวกามินะ (Kyogamina hill) ซึ่งเป็นที่ตั้งสุสานของอดีตผู้ปกครองเมืองเซนไดและครอบครัวหลายท่าน แต่ที่สำคัญที่สุด มี 3 ท่าน คือ ดาเตะ มาซามูเนะ (Date Masamune) ดาเตะ ทาดามูเนะ (Date Tadamune) และดาเตะ สึนามูเนะ (Date tsunamune) โดยเฉพาะสุสานของดาเตะ มาซามูเนะ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองเซนไดนั้น เป็นส่วนที่ใหญ่โตโอ่อ่าที่สุด และได้รับเลือกให้เป็นสมบัติของชาติญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1931สุสานหลักดั้งเดิมทั้ง 3 แห่งนี้บนเนินเขาเคียวกามินะนี้ล้วนแล้วแต่ถูกทำลายลงไปด้วยไฟสงครามในปี ค.ศ.1945 แต่ก็ได้รับการบูรณะก่อสร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงเวลาต่างๆกัน ระหว่างปี ค.ศ.1974-1985 จนงดงามมาถึงปัจจุบันอาคารหลังแรกที่จะพาไปชม เป็นสุสานของดาเตะ มาซามูเนะ ซึ่งเรียกว่าซุยโฮเด็น (Zuiho-den) มาซามูเนะถือกำเนิดในปี ค.ศ.1567 ที่ปราสาทโยเนะซาวะ (Yonezawa Castle) ทางตอนใต้ของเมืองยามากาตะ (Yamagata Prefecture) แต่เมื่อเติบโตขึ้น เขาออกไปสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ที่เซนไดซุยโฮเด็นเป็นทั้งสุสานและศาลเจ้าที่ตั้งขึ้นเพื่อมาซามูเนะ ซึ่งเสียชีวิตในปี ค.ศ.1636 (อายุ 69 ปี) และดังได้กล่าวมาแล้วว่า สุสานที่สวยงาม แห่งนี้เคยถูกไฟเผาทำลายมาก่อน แต่ประชาชนได้เรียกร้องให้มีการบูรณะ ทำให้ในปี ค.ศ.1974 ก็ได้มีการเริ่มก่อสร้างขึ้นมาใหม่ โดยก่อนที่จะมีการเริ่มงานบูรณะนั้น นักประวัติศาสตร์ได้ถือโอกาสเข้าไปทำการศึกษาตรวจดูที่ฝังศพ พบว่าร่างของดาเตะ มาซามูเนะ ที่ถูกบรรจุไว้ในสุสานมากว่า 3 ศตวรรษยังคงสมบูรณ์อยู่ และยังพบข้าวของเครื่องใช้ที่ฝังรวมไปกับผู้ก่อตั้งเมืองเซนไดนี้ด้วยราว 30 ชิ้น สุสานของดาเตะ มาซามูเนะ เป็นศาลเจ้าหลักแห่งซุยโฮเด็น.ซุยโฮเด็นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในหมู่สุสาน ณ เนินเขาเคียวกามินะ ในขณะที่สุสานของผู้ปกครองอื่นๆมักเป็นอาคารเดี่ยว แต่ซุยโฮเด็นของดาเตะมาซามูเนะ มีลักษณะเป็นหมู่อาคาร โดยผู้มาเยือนจะต้องผ่านประตูเนฮังมง (Nehanmong Gate) หรือนิพพานทวาร (Nirvana gate) เข้าไปก่อน ประตูนี้เป็นประตูไม้สีดำประดับสีทอง มีหลังคาศิลปะแบบญี่ปุ่น การข้ามผ่านประตูนี้เป็นการแสดงในเชิงสัญลักษณ์ที่ว่า เมื่อมีเกิดก็มีดับ และต้องผ่านวันเวลาไปก่อนจะบรรลุถึงที่หมายสุดท้ายเมื่อผ่านเข้าประตูนี้ไปแล้วจะพบกับศาลเจ้าด้านหน้า (Front Shrine) ก่อนจะต้องผ่านเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง จึงจะพบกับสุสานของดาเตะ มาซามูเนะ ซึ่งถือว่าเป็นศาลเจ้าหลักด้วย ส่วนด้านข้างขวาของศาลเจ้าด้านหน้า มีอาคารที่สร้างขึ้นมาเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งซุยโฮเด็นอาคารหลักที่เป็นสุสานของดาเตะ มาซามูเนะ นั้น มีลักษณะเป็นอาคารสีดำทรงสี่เหลี่ยม ด้านในมีรูปปั้นของเจ้าตัว ซึ่งมีบันทึกว่า ในอดีตประตูสุสานจะเปิดไว้ให้ผู้มาเยือนได้คารวะรูปปั้นนี้ แต่ปัจจุบัน ประตูสุสานถูกปิดเอาไว้ แสดงให้เห็นความงดงามของไม้เก่าแก่สีดำประดับทอง พร้อมตราประจำตระกูลอยู่ที่บานประตูทั้ง 2 ด้าน เป็นรูปนก อยู่ในวงกลมของต้นไผ่ ส่วนบนของประตู มีป้ายชื่อสีน้ำเงินติดเอาไว้ หลังคาเป็นศิลปะญี่ปุ่น ใต้หลังคามีไม้ทาสีสันสดใส เป็นจุดเด่นของทุกสุสานแห่งตระกูลดาเตะ ส่วนบนหลังคามีมังกรประดับอยู่ทุกทิศอันว่ามังกรนี้เป็นสัญลักษณ์ของดาเตะ มาซามูเนะ ด้วยค่ะ ผู้ก่อตั้งเมืองเซนไดนี้ มีฉายาว่า “มังกรตาเดียว” เนื่องจากมาซามูเนะมีตาเพียงข้างเดียว เพราะสูญเสียตาขวาไปจากไข้ทรพิษตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้มีตำนานเล่าขานกันถึงความเด็ดเดี่ยวของมาซามูเนะว่า พอมองไม่เห็น เขาก็ตัดสินใจควักลูกตาของตัวเองออกไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพะวงถึงมันอีกในยามอยู่ในสนามรบ แต่ตำนานที่หวาดเสียวน้อยกว่าบอกว่า มาซามูเนะขอให้คนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งช่วยเอาลูกตาออกไป แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร การที่มาซามูเนะได้ชื่อว่าเป็นนักการทหารที่แข็งแกร่ง ก็ทำให้ฉายามังกรตาเดียวของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ประตูเนฮังมง ด่านแรกก่อนจะเข้าไปถึงซุยโฮเด็น.ย้อนไปในวัยเด็ก มาซามูเนะเป็นลูกชายคนโตของดาเตะ เทรุมูเนะ (Date Terumune) ไดเมียวแห่งโทโฮคุ (Tohoku) อันเป็นเขตปกครองทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น และตั้งแต่อายุได้ 14 ปี มาซามูเนะก็ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เป็นพ่อ และอีก 3 ปีต่อมา ไดเมียวผู้บิดาก็ปลดเกษียณตัวเอง ให้มาซามูเนะได้เป็นไดเมียวแห่งโทโฮคุแทน เรียกว่าได้เป็นนักการทหาร นักปกครองตั้งแต่ยังเยาว์วัยในปี ค.ศ.1590 เมื่อมาซามูเนะมีอายุได้เพียง 23 ปี โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ผู้ปกครองประเทศญี่ปุ่นในขณะนั้นได้เกณฑ์บรรดาไดเมียวในสังกัดให้ออกไปร่วมรบ แต่มาซามูเนะพยายามหลบหนีการเข้าร่วมสงคราม ทำให้ฮิเดโยชิไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนคาดกันว่า มาซามูเนะจะต้องถูกลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจถึงขั้นประหารชีวิต แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มังกรตาเดียวของเราหวาดหวั่น หลังจากคิดสะระตะดีแล้วว่า ทำอย่างไรก็ยังไม่อาจหนีพ้นบารมีของฮิเดโยชิได้ มาซามูเนะก็จัดแจงแต่งตัวอย่างสง่างามที่สุด แล้วเดินอาดๆเข้าไปหาฮิเดโยชิ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คนที่คิดว่า งานนี้ได้เลือดกันแหงๆ ความทระนงของมาซามูเนะกลับกลายเป็นสิ่งที่ฮิเดโยชินับถือ และตั้งแต่นั้น มาซามูเนะก็เข้าสวามิภักดิ์ เป็นหนึ่งในยอดขุนพลคนโปรดของฮิเดโยชิในเวลาต่อมา คือปี ค.ศ.1904 มาซามูเนะได้นำพลพรรคราว 52,000 คนอพยพมาสร้างเมืองใหม่ ณ หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือเมืองเซนได ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งเซนได และสร้างให้เมืองนี้ใหญ่โตโอ่อ่า มีความอุดมสมบูรณ์นอกจากความสามารถทางการทหารและการปกครองที่ขึ้นชื่อแล้ว มาซามูเนะยังเป็นคนที่ให้ความสนใจด้านศิลปะ การต่างประเทศ และการศาสนาเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากในช่วงที่รัฐบาลโตกูงาวะได้ปกครองญี่ปุ่น และประกาศไม่สนับสนุนศาสนาคริสต์ ถึงขั้นห้ามประชาชนไม่ให้เข้าร่วม และการนับถือศาสนาคริสต์ถือเป็นความผิด แต่ในเมืองเซนไดที่มาซามูเนะปกครอง ยังคงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของชาวบ้าน และให้โอกาสนักสอนศาสนาได้เผยแผ่ความเชื่อต่อไป เรียกว่า ไม่ได้แคร์รัฐบาลกลางกันสักเท่าไหร่ ดาเตะ มาซามูเนะ.มาซามูเนะยังสนับสนุนให้มีการต่อเรือชื่อ ดาเตะมูระขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีจากยุโรปในการก่อสร้าง และมันได้นำขบวนนักการทูตเกือบ 200 ชีวิตออกทะเลมุ่งหน้าไปสู่กรุงโรม ถือเป็นการแต่งทูตจากเซนไดเข้าไปถึงกรุงวาติกัน เพื่อพบกับสมเด็จพระสันตะปาปาพอลที่ 5 และว่ากันว่า มาซามูเนะยังเขียนจดหมายด้วยภาษาละตินไปถึงสมเด็จพระสันตะปาปาด้วย เรียกว่าเก่งทุกอย่างเลยทีเดียวมีเรื่องเล่าขานกันว่า คนของมาซามูเนะอย่างน้อย 5-6 คน ไม่ยอมกลับญี่ปุ่น แต่ลี้ภัยศาสนา อยู่ที่ประเทศสเปน ทำให้ปัจจุบันนี้ในสเปนมีประชากรที่นามสกุลจาปน (Japon) อยู่มากถึงราวๆ 600-700 คน ซึ่งคาดว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มนักการทูตของมาซามูเนะนี่เองสำหรับศูนย์กลางปกครองของมาซามูเนะน่าจะอยู่ที่ปราสาทเซนได หรือชื่อจริงๆคือ ปราสาทอาโอบะ (Aoba) ปราสาทของมาซามูเนะนี้ มีบันทึกว่าแปลกกว่าปราสาทอื่นๆในสมัยเดียวกัน กล่าวคือ ไม่มีหอคอยป้องกันภัย หรือสอดส่องข้าศึก ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความซ่าส์ กล้าบ้าบิ่นของมาซามูเนะอีกนั่นแหละ เพราะเป็นการแสดงออกเพื่อให้รัฐบาลโตกูงาวะที่เมืองหลวงได้รู้ว่า ฉันไม่กลัวเธอหรอกนะจ๊ะ แต่อีกนัยหนึ่งก็อาจจะเป็นการประกาศตัวเป็นเด็กดี เป็นเมืองในสังกัดที่ไม่มีปัญหา เลยไม่คิดว่ากองทัพจากเมืองหลวงจะบุกเข้ามาก็เป็นได้ สุสานของดาเตะ สึนามูเนะ.แต่ถึงตอนนี้ เราไม่เห็นปราสาทแล้ว เพราะถูกไฟไหม้ไปตั้งแต่ปี ค.ศ.1883 และซากบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ถูกทำลายลงจนหมดใน ค.ศ.1945 ด้วยระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันจึงมีเพียงหินไม่กี่ก้อน และลานกว้างบนเนินที่เคยเป็นที่ตั้งของตัวปราสาท ซึ่งก็ยังกลายเป็นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เพราะมีการสร้างรูปหล่อของดาเตะ มาซามูเนะ นั่งตระหง่านบนหลังม้า ประหนึ่งกำลังมองและปกปักเมืองที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้นอยู่เสมอมาซามูเนะปกครองเซนไดมาจนอายุได้เกือบ 70 ปี เขาก็เสียชีวิตท่ามกลางความเศร้าสลดของพลเมือง ลูกชายผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา คือ ดาเตะ ทาดามูเนะ (ค.ศ.1599-1658) ก็เป็นนักปกครองที่มีความสามารถเช่นกัน เซนไดจึงยืนหยัดต่อมาได้อย่างมั่นคงย้อนกลับไปที่เนินเขาเคียวกามินะ เมื่อเดินออกมาจากซุยโฮเด็น จะผ่านป่าเขียวขจีออกไปถึงที่ตั้งของสุสานอีก 2 แห่ง คือ สุสานของ ดาเตะ ทาดามูเนะ ชื่อคันเซนเด็น (Kansen-den) และสุสานของดาเตะ สึนามูเนะ (ค.ศ.1640-1711) ชื่อเซนโนเด็น (Zennoden) ทั้ง 2 สุสานนี้มีลักษณะคล้ายกันมาก คือ เป็นอาคารเดี่ยวทรงสี่เหลี่ยมสีดำ มีตราประจำตระกูลอยู่ที่บานประตู และใต้หลังคายังคงเป็นไม้ที่ทาด้วยสีสันสดใสเช่นเดียวกับซุยโฮเด็นสิ่งที่แยกชัดทำให้เห็นความแตกต่างของทั้ง 2 สุสาน คือ ป้ายชื่อด้านบนเหนือประตู โดยป้ายชื่อที่คันเซนเด็นเป็นป้ายสีน้ำเงิน ในขณะที่ป้ายชื่อที่เซนโนเด็นเป็นสีเขียว รูปหล่อของดาเตะ มาซามูเนะ ที่ (อดีต) ปราสาทเซนได.สำหรับคันเซนเด็น สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1664 หลังจากที่เจ้าของสุสานเสียชีวิตไปแล้วตั้ง 6 ปี และต่อมาก็ถูกไฟไหม้ไปเช่นเดียวกับสุสานของผู้เป็นพ่อ จนได้มาบูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1985สำหรับดาเตะ ทาดามูเนะ ผู้ปกครองคนที่ 2 แม้จะไม่มีชื่อเสียงเทียบชั้นกับผู้เป็นพ่อ แต่ก็ได้รับการยอมรับในฐานะของนักปกครองที่สร้างเมืองเซนไดให้แข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยการสร้างระบบกฎหมาย ส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการทำนา จัดการระบบป้องกันน้ำท่วม ปรับปรุงท่าเรือ ทำให้เซนไดมีความมั่นคง ดำรงเอกภาพได้ต่อมาครั้นถึงผู้ปกครองคนที่ 3 คือ ดาเตะ สึนามูเนะ ลูกชายของทาดามูเนะ สุสานเซนโนเด็นของเขาสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1716 คือ 5 ปีหลังจากเสียชีวิต เขามีชื่อเสียงด้านงานศิลปะ เช่น การวาดภาพ ศิลปะลงรักปิดทอง ส่วนผลงานด้านอื่นๆไม่ค่อยมีปรากฏ อาจจะเป็นเพราะสึนามูเนะได้ปกครองเซนไดในขณะที่อายุยังน้อยเป็นเวลาสั้นๆ สุสานของดาเตะ ทาดามูเนะ.เพียง 2 ปี เนื่องจากการแทรกแซงของโชกุน-โตกูงาวะ ทำให้เราไม่ทราบว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใดแต่ในส่วนของดาเตะ มาซามูเนะ ผู้ก่อตั้งเซนไดนั้น ไม่มีข้อกังขาเลยว่า เป็นผู้มีคุณูปการกับเซนไดจริงๆนับตั้งแต่สร้างบ้านแปงเมือง ปกครองจนตัวตาย และแม้ในปัจจุบัน ทั้งสุสานและรูปปั้นของ “มังกรตาเดียว” ก็ยัง “ทำเงิน” ให้พลเมืองเซนได ในฐานะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเขาจึงเป็นมังกรที่จะอยู่ดูแลเซนไดตลอดกาล.โดย :สุภาพรรณ เปล่งมณีพันธ์ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน