หนึ่งในปริศนาสำคัญที่นักโบราณคดีทั่วโลก ผู้ศึกษากิจกรรมดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ล้วนต้องการคำตอบก็คือ ต้นกำเนิดของชนเผ่าโบราณที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่นั้นมาจากที่ไหน สืบเชื้อสายมาจากบรรพชนกลุ่มใด เพื่อที่จะทำความเข้าใจถึงระบบสังคมและการถ่ายทอดวัฒนธรรมอันแสนซับซ้อน ในปัจจุบัน องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พาเราดำดิ่งลงไปถึงระดับของพันธุกรรมและดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสืบเชื้อสายทางพันธุกรรมอย่างชัดเจนด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ นั่นหมายความว่า “ดีเอ็นเอ” จะสามารถทำให้เราสืบสาวกลับไปหา “ต้นกำเนิด” แห่งชนเผ่าโบราณของโลกได้ด้วยหรือไม่ ครั้งนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาแฟนานุแฟนไปร่วมหาคำตอบกันครับเมื่อปี ค.ศ.2010 นักอียิปต์วิทยาและทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบ “มัมมี่” ของฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen) ผู้โด่งดัง พร้อมทั้งมัมมี่ร่างอื่นๆที่เกี่ยวข้องในฐานะ “ญาติ” อีกหลายร่าง ผลการตรวจสอบถูกตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ของสมาคมการแพทย์อเมริกัน (JAMA) เปิดเผยให้เราทราบถึงเชื้อสายราชวงศ์ที่แท้จริงของยุวฟาโรห์องค์นี้ แต่ถึงอย่างนั้น นักอียิปต์วิทยาส่วนหนึ่งก็ยัง “ไม่ยอมรับ” ด้วยอ้างว่าการตรวจดีเอ็นเอนั้นอาจจะมีการปนเปื้อน นอกจากนั้น มัมมี่อียิปต์โบราณที่มีอายุกว่า 3,000 ปี ไม่น่าจะมีดีเอ็นเอหลงเหลือมาให้เราศึกษาได้อย่างถูกต้องอีกแล้ว นักวิชาการส่วนใหญ่จึงยัง “กังขา” กับผลลัพธ์ แม้ว่าผลการวิจัยนั้นจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกต้องก็ตามที ภาพวาดแสดงถึงเมื่อครั้งที่ชาวอิสราเอลไปถึงดินแดนคานาอันเป็นครั้งแรก.ล่าสุด เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ค.ศ.2017 มีความพยายามในการใช้ดีเอ็นเอจากมัมมี่อียิปต์โบราณอีกครั้งเพื่อค้นหาต้นกำเนิดของชาวไอยคุปต์ และในครั้งนี้นอกจากทีมนักวิชาการจะสามารถแสดงให้เห็นว่า การศึกษาดีเอ็นเอจากมัมมี่ดึกดำบรรพ์ยังสามารถกระทำได้อย่างถูกต้องและเป็นที่ยอมรับแล้ว พวกเขายังสามารถแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่างชาวอียิปต์โบราณกับชาวอียิปต์ในปัจจุบันได้คร่าวๆอีกด้วยการตรวจสอบในครั้งนี้นำโดยโยฮันเนส เคราส์ (Johannes Krause) นักพันธุกรรมโบราณคดี จากสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านประวัติศาสตร์มนุษย์แห่งแม็กซ์ แพลงก์ (The Max Planck Institute for the Science of Human History in Germany) ในประเทศเยอรมนี ทีมวิจัยของเคราส์ได้วิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมของมัมมี่ 151 ร่าง ที่มีอายุอยู่ในช่วงตั้งแต่ราว 1,388 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงที่อียิปต์รุ่งเรืองสูงสุดในสมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) มาจนถึงปี ค.ศ.426 ซึ่งอียิปต์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน มัมมี่ทั้งหมดมาจากแหล่งโบราณคดีเพียงแหล่งเดียวที่มีชื่อว่าอบูเซียร์ เอล-เมเลค (Abusir el-Meleq) ชนโบราณผู้สร้างรูปสลักโมอายนั้นคือชนเผ่าใดกันแน่ ?ซึ่งนักวิชาการทราบดีว่า ถึงแม้เนื้อเยื่ออ่อน (Soft Tissue) ของมัมมี่นั้นแทบจะไม่หลงเหลือดีเอ็นเอให้ศึกษาอีกแล้ว ทว่าในกระดูกและฟันนั้นยังมีข้อมูลทางดีเอ็นเอให้เก็บเกี่ยวได้อีกเหลือเฟือเลยทีเดียวสิ่งที่โยฮันเนส เคราส์ และทีมงานตั้งข้อสงสัยกันก็คือ ความสืบเนื่องทางพันธุกรรมของชาวอียิปต์โบราณในช่วงยุคปลาย (Late Period) นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เนื่องด้วยในช่วงนี้ชาวไอยคุปต์ถูกชนต่างชาติจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นชาวลิเบีย ชาวนูเบีย ชาวอัสซีเรีย (Assyria) และชาวกรีก ตามด้วยชาวโรมันผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครองความเป็นใหญ่ในอาณาจักรของพวกเขาผลการตรวจสอบออกมาถือว่าน่าตื่นเต้นทีเดียวครับ เพราะแรกเริ่มเดิมทีเราคิดกันว่าชาวอียิปต์โบราณน่าจะมาจากดินแดนแอฟริกาตอนใน หรือกลุ่ม “ซับซาฮารา” (Sub-Sahara) ทว่าผลลัพธ์ที่ได้จากมัมมี่อียิปต์โบราณกลุ่มนี้กลับแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับประชากรในกลุ่มซับซาฮาราน้อยมาก ผิดกับคนอียิปต์ในปัจจุบันที่มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับกลุ่มซับซาฮารามากกว่า!อ้าว!! แล้วมัมมี่อียิปต์โบราณเหล่านี้มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับชนกลุ่มไหนกันล่ะ? น่าทึ่งที่คำตอบที่ออกมาก็คือ พวกเขาใกล้ชิดกับชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่อาศัยอยู่ในแถบลิแวนต์ (Levant) หรือบริเวณประเทศตุรกี อิรัก อิสราเอล จอร์แดน ซีเรีย และเลบานอน เสียมากกว่าน่ะสิครับ นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าความสืบเนื่องทางพันธุกรรมของชาวไอยคุปต์นั้นมีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรใหม่จนถึงยุคที่โรมันเข้าปกครองเลยทีเดียว ส่วนสายพันธุกรรมจากกลุ่มซับซาฮารานั้นเพิ่งเข้ามามีบทบาทอย่างเด่นชัดมากขึ้นในช่วงราว 700 ปีก่อนเท่านั้นเองครับ ในศิลปะโบราณ ภาพสตรีชาวมิโนอัน (บน) และสตรีชาวไมซีเนียน (ล่าง) แทบไม่มีความแตกต่างกัน.แต่ถึงแม้ว่างานวิจัยนี้จะมีการนำเอามัมมี่มาตรวจสอบถึง 151 ร่างก็จริง แต่มัมมี่ทั้งหมดก็มาจากนครโบราณเพียงแหล่งเดียว แถมจริงๆแล้วข้อมูลของจีโนมและไมโทรคอนเดรียที่สมบูรณ์พร้อมจนสามารถผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดมาได้นั้นมีเพียงแค่ 3 ร่าง จาก 3 ยุคของอียิปต์โบราณเท่านั้น! จึงเป็นการยากที่จะนำมาใช้เป็นตัวแทนของชาวไอยคุปต์นับล้านๆคนทั่วทั้งอาณาจักร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความสำเร็จที่แท้จริงของผลการวิจัยในครั้งนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า ฟันและกระดูกจากมัมมี่ยังมีดีเอ็นเอให้สามารถนำไปตรวจสอบในเชิงพันธุกรรมได้อยู่นั่นเองครับต่อจากนั้นมา ทีมนักวิจัยหลายกลุ่มก็เริ่มออกตามหาต้นกำเนิดของชนดึกดำบรรพ์กันขนานใหญ่ และชนโบราณอีกหนึ่งกลุ่มที่ถูกนำมาวิเคราะห์ดีเอ็นเอหลังจากนั้นไม่นานนักก็คือชาว “คานาอัน” (Canaan) ที่อาศัยอยู่ในแถบลิแวนต์ แต่ด้วยว่าชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในดินแดนคานาอันนั้นไม่ได้ทิ้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดๆเอาไว้ให้เราได้ศึกษากันเลย ดังนั้น เราจึงต้องค้นคว้าจากเอกสารของอาณาจักรข้างเคียง หรือบ้างก็ต้องศึกษาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งก็ต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน เช่น ถ้าเราอ้างอิงจากพระคัมภีร์บทเฉลยธรรมบัญญัติ 20 : 17 (Deuteronomy 20 : 17) ที่กล่าวว่า “ท่านจะต้องทำลายล้างชนชาติเหล่านี้ทั้งหมด คือชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ดังที่พระยาห์– เวห์ พระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาท่านไว้” เราจะพบว่าชาวคานาอันถูกทำลายลงโดยชาวอิสราเอล ทว่าหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบในแถบคานาอันกลับไม่ได้แสดงให้เห็นว่านครแห่งนี้ถูกทำลายลงจริงแต่อย่างใด การวิเคราะห์ดีเอ็นเอช่วยให้เรารู้เรื่องราวของชนโบราณเหล่านี้มากยิ่งขึ้น.โครงกระดูกที่นำมาตรวจสอบมีทั้งหมด 5 ร่าง เป็นชาวคานาอันที่ค้นพบจากเมืองไซดอน (Sidon) ในประเทศเลบานอน อายุราว 3,700 ปี นักวิชาการทราบจากบันทึกของชาวกรีกว่า ชาวคานาอันนั้นอพยพเข้ามายังแถบลิแวนต์จากทางทิศตะวันออก ซึ่งผลลัพธ์ของดีเอ็นเอที่ได้จากโครงกระดูกทั้ง 5 ร่างนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าข้อมูลจากชาวกรีกนั้นถูกต้องเพียง “ครึ่งเดียว” เท่านั้นครับดีเอ็นเอจากชาวไซดอนโบราณ 5 ร่าง บอกเราว่า ยีน (Genes) ของชาวคานาอันร้อยละ 50 มาจากกลุ่มชาวนาท้องถิ่นในแถบลิแวนต์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มายาวนานนับหมื่นปีแล้ว ส่วนอีกร้อยละ 50 มาจากกลุ่มชนโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบประเทศอิหร่านปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปได้ว่ากลุ่มชนจากตะวันออกเหล่านี้น่าจะเข้ามาผสมปนเปกับชาวคานาอันดั้งเดิมตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีก่อนแล้ว นอกจากนั้นยังพบว่าชาวเลบานอนในปัจจุบันสืบเชื้อสายทางพันธุกรรมมาจากชาวคานาอันดึกดำบรรพ์ โดยมียีนมากกว่าร้อยละ 90 สอดคล้องกับยีนของชนดึกดำบรรพ์เหล่านี้ ส่วนอีกราวร้อยละ 7 มาจากชาวยุโรปตอนกลางที่เข้ามาผสมปนเปในแถบลิแวนต์เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนชนเผ่าโบราณอีกสองกลุ่มที่ถูกนำมาวิเคราะห์ดีเอ็นเอเช่นกันคือชาวมิโนอัน (Minoan) บนเกาะครีต (Crete) ที่รุ่งเรืองอยู่ในช่วงประมาณ 2,600 ถึง 1,400 ปีก่อนคริสตกาล และชาวไมซีเนียน (Mycenaean) บนกรีซแผ่นดินใหญ่ที่รุ่งเรืองอยู่ในช่วงประมาณ 1,600 ถึง 1,200 ปีก่อนคริสตกาล นักโบราณคดีตั้งคำถามกับต้นกำเนิดของชาวมิโนอันและชาวไมซีเนียนมาช้านาน ตอนแรกมีการเสนอกันว่า สองวัฒนธรรมนี้น่าจะมาจากบรรพชนคนละกลุ่มกัน แต่การตรวจดีเอ็นเอกลับให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เพราะดูเหมือนว่าสองวัฒนธรรมนี้จะใกล้ชิดกันมากเสียด้วยดีเอ็นเอดึกดำบรรพ์ถูกดึงออกมาจากฟันของมนุษย์จำนวน 19 ร่าง 10 ร่างเป็นของชาวมิโนอันบนเกาะครีต ที่ระบุอายุได้ในช่วงประมาณ 2,900 ถึง 1,700 ปีก่อนคริสตกาล 4 ร่างเป็นของชาวไมซีเนียนบนกรีซแผ่นดินใหญ่ ระบุอายุได้ในช่วงประมาณ 1,700 ถึง 1,200 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนั้น อีก 5 ร่างเป็นชาวนาดึกดำบรรพ์สมัยยุคสัมฤทธิ์ ระบุอายุได้ประมาณ 5,400 ถึง 1,340 ปีก่อนคริสตกาล จากบริเวณประเทศกรีซและตุรกี ซึ่งจากการวิเคราะห์รหัสทางพันธุกรรมจำนวนมหาศาลพบว่า ชาวมิโนอันและชาวไมซีเนียนมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่างกัน โดยที่ 3 ใน 4 ของดีเอ็นเอ จากสองวัฒนธรรมนี้สืบทอดมาจากกลุ่มชาวนาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ประเทศกรีซและดินแดนแถบอนาโตเลีย หรือประเทศตุรกีปัจจุบัน นอกจากนั้น พวกเขายังสืบเชื้อสายดีเอ็นเอมาจากบรรพชนแถบเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) ในประเทศอิหร่านอีกด้วย หนึ่งในมัมมี่จากเมืองอบูเซียร์ เอล-เมเลค.แต่นักวิจัยพบข้อแตกต่างว่า ชาวไมซีเนียนจะมีดีเอ็นเอจากบรรพชนที่มาจากตอนเหนือ หรือแถบไซบีเรียอยู่ด้วยประมาณร้อยละ 4 ถึง 16 แต่ชาวมิโนอันกลับไม่มีดีเอ็นเอเหล่านี้เลย นั่นจึงทำให้นักวิจัยเสนอว่านี่อาจจะแสดงให้เห็นว่ากลุ่มชนจากทุ่งหญ้าสเต็ปป์ในยูเรเซีย (Eurasian Steppe) ได้อพยพเข้ามายังกรีซแผ่นดินใหญ่โดยผ่านทางยุโรปตะวันออก หรือไม่ก็แถบประเทศอาร์เมเนีย แต่บรรพชนกลุ่มนี้คงเดินทางไปไม่ถึงเกาะครีตนั่นเองนอกจากนั้นแล้ว ทั้งชาวมิโนอันและไมซีเนียนมียีนของดวงตาสีน้ำตาลและผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน ในศิลปะของชาวมิโนอันและชาวไมซีเนียนจึงมักจะแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่มีผมและดวงตาสีเข้ม และผลการเปรียบเทียบดีเอ็นเอของชาวไมซีเนียนกับชาวกรีกในปัจจุบันยังแสดงให้เห็นถึงการคาบเกี่ยวกันทางพันธุกรรมอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าชาวกรีกในปัจจุบันก็สืบเชื้อสายทางพันธุกรรมมาจากชาวไมซีเนียนเมื่อหลายพันปีก่อนด้วยเช่นกันครับอีกหนึ่งชนดึกดำบรรพ์ที่นักโบราณคดีต่างก็ฉงนสงสัยว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่ ชนกลุ่มนี้คือชาวเกาะ “อีสเตอร์” (Easter Island) ที่โด่งดังเรื่องรูปสลักโมอาย (Moai) ขนาดยักษ์ ในอดีตนักวิชาการเสนอแนวคิดแตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเสนอว่า ชาวเกาะอีสเตอร์น่าจะเป็นชาวโพลีนีเซียน (Polynesians) ที่ล่องเรือระยะไกลมาจากทิศตะวันตก แต่อีกกลุ่มหนึ่งก็เสนอว่า บรรพชนของเกาะอีสเตอร์มาจากอเมริกาใต้ทางฝั่งตะวันออก เพราะมีหลักฐานของ “มันเทศ” ซึ่งพบมากในอเมริกาใต้ปรากฏบนเกาะอีสเตอร์ด้วย แต่ผลการตรวจสอบดีเอ็นเอที่ออกมาเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2017 ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นไว้แล้ว หนึ่งในห้าโครงกระดูกชาวคานาอันที่นำมาตรวจสอบดีเอ็นเอ.ทีมวิจัยนำอดีตชาวเกาะอีสเตอร์จำนวน 5 ร่าง มาวิเคราะห์ 3 ร่างแรก สามารถระบุอายุได้ในช่วงปี ค.ศ.1445 ถึง ค.ศ.1624 ซึ่งเป็นยุคที่ชาวยุโรปยังไม่รู้จักเกาะแห่งนี้ ส่วนอีกสองร่างระบุอายุได้ในช่วงปี ค.ศ.1815 และ ค.ศ.1945 ซึ่งอยู่ในยุคหลังจากการเข้ามาของชาวยุโรปบนเกาะอีสเตอร์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1722 ผลการตรวจสอบพบว่า สามร่างแรกนั้นไม่ปรากฏยีนของชาวอเมริกันพื้นเมืองปะปนอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย ทว่าสองร่างหลังกลับมีหลักฐานของยีนจากชาวยุโรปปะปนอยู่ด้วย ซึ่งก็ถือว่าสมเหตุสมผลครับแต่ตัวอย่างที่นำมาใช้วิเคราะห์นั้นมีเพียงแค่หลักหน่วย ซึ่งไม่อาจเป็นตัวแทนของชาวเกาะอีสเตอร์จำนวนมหาศาลได้ ถึงแม้ว่าผลการตรวจสอบชาวเกาะอีสเตอร์สามร่างแรกจะไม่พบยีนของชนเผ่าอเมริกันพื้นเมือง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีชาวอเมริกันพื้นเมืองเข้ามาอาศัยอยู่บนเกาะอีสเตอร์ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามาเจอเกาะแห่งนี้แม้ว่าผลลัพธ์นั้นยังไม่สามารถชี้ชัดอะไรได้มากนัก ด้วยข้อจำกัดของตัวอย่างที่นำมาวิจัย แต่งานวิจัยอันทรงคุณค่าเหล่านี้ก็ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้วงการโบราณคดี เพราะในอนาคต ถ้านักโบราณคดีค้นพบศพมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ยังมีตัวอย่างของดีเอ็นเอที่ครบถ้วนและสมบูรณ์มากเพียงพอจะนำมาใช้วิเคราะห์ได้ ความลับของต้นกำเนิดแห่งชนเผ่าโบราณนั้นๆคงจะถูกเปิดเผยให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน.โดย : ณัฐพล เดจขจรทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน